เรื่อง ETHER สงครามดาวนรกซอมบี้คลั่ง
1.13สามผู้รอดชีวิต
“ขะ..คุณ เป็นใคร” เสียงของมอลลี่สั่น เธอจ้องมองกันสึเกะราวกับว่าเขาคือสิ่งมีชีวิตที่มาจากต่างโลก
“ฉันชื่อกันสึเกะ ส่วนนั่นมาริ พวกเราคิดว่าไม่มีใครอยู่ที่นี่” กันสึเกะพยายามไม่พูดเสียงดัง แต่ก็ไม่ถึงขั้นกระซิบ
มอลลี่เลื่อนสายตามองสำรวจกันสึเกะ ก่อนจะหันไปมองมาริที่อยู่ข้างๆ
“ฉันชื่อมอลลี่” เธอเอนตัวขึ้นมาใช้มือปาดน้ำตา
“คุณช่วย-” สภาพศพอันน่าสยดสยองของน้องสาวที่อยู่ตรงบันไดทำให้เธอเบือนหน้าหนีไปทางอื่น
“เดี๋ยวผมจัดการให้” กันสึเกะเข้าใจว่าเธอต้องการอะไร เขาดึงเสื้อคลุมอาบน้ำสีน้ำตาลเข้มจากตะกร้าผ้าพลาสติกที่ล้มตะแคงอยู่ เดินเอามันไปคลุมศพของน้องสาวเธอไว้ ก่อนจะทำแบบเดียวกันกับศพแม่ของเธอที่อยู่ในห้องด้วยผ้าห่ม
มอลลี่ใช้ผ้าที่หล่นอยู่ตามพื้นมาซับฉี่ของเธอ ก่อนจะเดินเข้าไปในห้องน้ำ กันสึเกะได้ยินเสียงเธอเปิดฝักบัวเพื่อล้างตัว
“ลงไปข้างล่างกันเถอะ” เขาหันไปคุยกับมาริ ความเครียดและเหนื่อยทำให้ไอ้หนุ่มขาเหล็กอยากกินอะไรหวานๆ
“เธอพยักหน้า”
ทั้งสองย้ายลงมานั่งที่โต๊ะอาหารในห้องครัวซึ่งหลอดไฟบนเพดานตรงนี้รอดจาก-่ากระสุนปืนได้ราวปาฏิหาริย์ มีซองขนมและขวดน้ำผลไม้เปล่าจากกระเป๋าของกันสึเกะวางอยู่เต็มโต๊ะ
ไม่นานนักมอลลี่ที่อาบน้ำเสร็จแล้วก็เดินลงมาสมทบกับทั้งสอง
มอลลี่บอกว่าเธออาศัยอยู่บ้านหลังนี้กับแม่และน้องสาว พ่อของเธอตายไปแล้วเมื่อหลายปีก่อน กันสึเกะแนะนำตัวว่าเขามาจากโลกมันทำให้แววตาของสาวๆ ทั้งสองคนเปล่งประกาย
“คุณมาจากโลกจริงๆ เหรอ พาเราหนีไปอยู่ที่นั่นได้มั้ย” มาริพูดพลางยื่นมือนุ่มๆ มาเกาะท่อนแขนของกันสึเกะที่นั่งอยู่ข้างๆ
“ถ้าทำได้ฉันจะทำ แต่ฟังนะ”
กันสึเกะเสนอแผนการเดินทางไปยังที่หลบภัย แต่มาริบอกว่าเธอและพ่อเพิ่งมาจากที่นั่น พวกติดเชื้อที่หลุดเข้าไปไล่กัดกินคนที่อยู่ในนั้นหมดแล้ว
“ถ้าอย่างนั้นพวกเราต้องไปดาวดวงอื่น” มอลลี่ที่นั่งอยู่ข้างซ้ายของมาริเสนอ
“พวกดวงดาวปลายทางคงปิดการเชื่อมต่อไปแล้ว” กันสึเกะส่ายหัวอย่างสิ้นหวัง
“เราทุกคนติดอยู่ที่ดาวดวงนี้” กันสึเกะเปรี้ยวปากอยากดื่มเบียร์ เขามักจะเป็นแบบนี้เวลาเครียดหรือกำลังใช้ความคิดอย่างหนัก
“ฉันอยากอาบน้ำ” มาริที่นั่งตรงข้ามกับกันสึเกะพูด คราบเลือดและเศษสมองที่ติดอยู่ตามเสื้อของเธอเริ่มส่งกลิ่นเหม็น
“คุณพอจะมีชุดให้ฉันเปลี่ยนรึเปล่าคะมอลลี่”
“มีสิ เดี๋ยวฉันไปเอามาให้” มอลลี่ลุกจากเก้าอี้เดินขึ้นไปยังชั้นสอง โดยที่ไม่พยายามมองไปที่ศพน้องสาวของเธอที่นอนจมกองเลือดอยู่ใต้เสื้อคลุม
“คุณกันสึเกะ คุณเองก็ควรอาบน้ำนะ เพราะฉันรู้สึกว่าตอนนี้ตัวคุณเหม็นมาก”
กันสึเกะหันไปยิ้มให้เธอ ....แววตาที่พยายามแสร้งทำเป็นว่าเข้มแข็งของมาริทำให้เขานึกถึงตัวเองตอนที่สูญเสียแม่... ซึ่งตอนนั้นเขาเองก็อยากร้องไห้ แต่ก็กลั้นไว้ไม่ให้น้ำตาไหลออกมา...
“ฉันอยากได้เบียร์เย็นๆ มากกว่า” น้ำเสียง และรอยยิ้มบนใบหน้า
ของกันสึเกะทำให้เธอรู้สึกอุ่นวาบไปทั้งตัว
“เธอเข้มแข็งมากกว่าที่ตัวเองคิดนะ มาริ”
แววตาที่เขามองมา ไม่มีอาจมีคำพูดใดอธิบายได้ ความเศร้าอย่างอบอุ่นที่สะท้อนออกมาจากประกายตาของเขา ทำให้เธอรู้สึกไม่โดดเดี่ยว ที่จะต้องทนอยู่กับความเจ็บปวดบนโลกใบนี้
“ขอบคุณค่ะ”
…คุณกันสึเกะน่ารักมากเลย… เธออยากจะพูดแบบนั้น แต่ก็เพียงทำได้แค่ส่งยิ้ม ซึ่งงดงามประดุจดอกไม้ที่กำลังเบ่งบานในฤดูใบไม้ผลิไปแทน
“มันอาจดูเก่าไปหน่อย แต่ฉันคิดว่าเธอน่าจะใส่ได้” มอลลี่ยื่นเสื้อยืดและกางเกงยีนส์ที่พับไว้อย่างเรียบร้อย ให้กับมาริ
“ได้ยินว่าคุณอยากได้เบียร์เย็นๆ” เธอพูดพลางเดินไปเปิดตู้เย็นที่อยู่ข้างเคาน์เตอร์ทำกับข้าวและยกเบียร์กระป๋องที่อยู่ในแพคออกมา
“ขอบคุณพระเจ้า” กันสึเกะมองเบียร์สี่กระป๋องราวกับได้รับพรจากสวรรค์
สีเขียวเข้มและรูปดาวสีแดงบนกระป๋องของมันดูเหมือนผลไม้ทิพย์เย็นฉ่ำกลางทะเลทราย
“พวกคุณสองคนเป็นแฟนกันเหรอ” มอลลี่ถามเมื่อเห็นว่ามาริเดินเข้าห้องน้ำไปแล้ว
“ทำไมคุณถามแบบนั้น” กันสึเกะขมวดคิ้ว
“แววตาที่เธอมองคุณเหมือนแววตาของคนรัก”
“เราพึ่งเจอกัน” กันสึเกะยิ้มที่มุมปาก เขายกเบียร์เย็นๆ ขึ้นมาจิบและรู้สึกภูมิใจในตัวเองนิดหน่อย ที่คนหน้าตาธรรมดาอย่างเขาสามารถทำให้เด็กมัธยมปลายหลงรักได้
“ผมช่วยเธอไว้ และพาหนีมาหลบอยู่ที่นี่” เขาหันไปยังประตูม้วนเหล็กที่เต็มไปด้วยรูกระสุน ลำแสงจากหลอดไฟข้างทางด้านนอกส่องทะลุเข้ามาเป็นเส้นกลมๆ มีเสียงฝีเท้าและเสียงหายใจครืดคราดของพวกซอมบี้ดังเข้ามาจากด้านนอก
“บ้านของคุณอาจช่วยให้เราปลอดภัยได้สักพัก” กันสึเกะพูด เขาเริ่มคิดถึงกระสุนเจาะเกราะและโทรศัพท์ของจอนวิคที่เขาหยิบติดมือมา เขาล้วงมือคลำหาโทรศัพท์ที่อยู่ในกระเป๋ากางเกง ก่อนจะหันไปหามอลลี่ที่นั่งอยู่ตรงหัวโต๊ะ
“คุณพอจะมีสายชาร์จโทรศัพท์รุ่นนี้รึเปล่า”
“เรียกฉันว่ามอลลี่เถอะ” เธอยิ้มให้เขาก่อนจะเดินเข้าไปหาสายชาร์จที่วางอยู่หลังตู้เย็น
“ขอบใจมากมอลลี่” กันสึเกะยิ้มอย่างอ่อนโยนขณะรับสายชาร์จมาจากมือของเธอ
“พรุ่งนี้เราจะยังมีชีวิตอยู่มั้ย” มอลลี่เดินไปทิ้งก้นลงนั่งบนเก้าอี้ที่อยู่หัวโต๊ะ เธอหรี่สายตามองกระป๋องเบียร์สีแดงอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะยกมันขึ้นมาดื่ม
“ฉันไม่รู้ แต่เราต้องทำอะไรสักอย่าง” เสียงอาบน้ำของมาริทำให้เขาหรี่สายตาขึ้นไปมองห้องน้ำบนชั้นสอง
“คืนนี้พวกเธอควรนอนให้เพียงพอ และควรใส่ชุดที่พร้อมจะเดินทางไกลหรือเดินป่าอยู่ตลอดเวลา” กันสึเกะห-ี่สายตามองชุดของมอลลี่ที่เหมาะกับการใส่นอนมากกว่าใส่ลงไปฝึกภาคสนาม
“ทำไม” มอลลี่ขมวดคิ้ว ใส่ชุดแบบนั้นจะไปนอนหลับได้ไงเธอคิด
“เราไม่รู้ว่าจะมีตัวอะไรบุกเข้ามาอีกรึเปล่า ไอ้ตัวสีม่วงที่ทุบประตูอาจกลับมาได้ทุกเมื่อ” กันสึเกะพูดพร้อมกับชี้ปืนไปที่ประตูเหล็กที่เต็มไปด้วยรอยกระสุน
“ฉันจะเป็นคนเฝ้ายามให้พวกเธอเอง แต่ก็อยากให้พวกเธอสองคนพร้อมสำหรับการวิ่งหนี”
“เข้าใจแล้ว” มอลลี่ก้มหน้ามองโต๊ะ
“แต่ฉันไม่อยากเห็นพวกเธออยู่ตรงนั้นอีก” เธอก้มหน้าฟุบลงกับโต๊ะและเริ่มร้องไห้เมื่อนึกถึงศพของน้องสาวและแม่ที่นอนตายอยู่ตรงบันไดและในห้อง
“เดี๋ยวฉันจัดการให้ ไม่เป็นไรนะ” กันสึเกะเดินมาลูบหัวเธอจากทางด้านหลัง ความรู้สึกอบอุ่นจากมือที่อ่อนโยนของเขาทำให้มอลลี่เอนตัวขึ้นมา
กอดและซบหน้าของเธอไปที่ท้องของเขา
“ฮือ…ฮื้ออ…” เสียงสะอึกสะอื้นและร่างที่สั่นเทาของเธอทำให้กันสึเกะรู้สึกสะเทือนใจ “ไม่เป็นไร ไม่เป็นไร” เขาลูบหัวและก้มลงไปจูบกลางกระหม่อมของเธออย่างอ่อนโยน
“ไม่เป็นไรนะ” เขากระซิบที่ข้างหู ก่อนจะพูดออกมาด้วยน้ำเสียงที่อบอุ่นแต่หนักแน่น
“ชีวิตเราต้องเจอเรื่องเลวร้ายแบบนี้เข้าสักวัน และถ้าเธอผ่านมันไปได้ เธอจะเข้าใจชีวิตมากขึ้น”
คำพูดของเขาทำให้มอลลี่พยักหน้า
“ขอบใจนายมาก” เธอยกมือขึ้นมาปาดน้ำตา ก่อนจะค่อยๆ ลุกขึ้นและเดินตรงไปยังห้องเปลี่ยนเสื้อผ้าที่อยู่ชั้นสอง
____
นิยายแนะนำ
นิยายแนะนำ
ความคิดเห็น
COMMENT
เว็บไซต์นี้ใช้คุกกี้
เว็บไซต์นี้ใช้คุกกี้ เพื่อสร้างประสบการณ์นำเสนอคอนเทนต์ที่ดีให้กับท่าน รวมถึงเพื่อจัดการข้อมูลส่วนบุคคลเพื่อให้ท่านได้รับประสบการณ์ที่ดีบนบริการของเว็บไซต์เรา หากท่านใช้บริการเว็บไซต์นี้ต่อไปโดยไม่มีการปรับตั้งค่าใดๆ นั่นเป็นการแสดงว่าท่านอนุญาตยินยอมที่จะรับคุกกี้บนเว็บไซต์และนโยบายสิทธิส่วนบุคคลของเรา
userA???
???? ??? ? ???? ?? ??