เรื่อง นายน้อยเจ้าสำราญ III : ยอดเขยนักกวี (นิยายแปล)
ตอนที่ 27 แม่นางขายหีบศพ (1)
เฉิงเจ๋อออกไปจากศาลากวนพู่พลางครุ่นคิดไปมา และตัดสินใจไปดูว่าคนที่ตนแพ้ให้นั้นมีท่าทางเป็นเช่นไร
ดังนั้นเขาจึงกลับไปยังจวนจงหลีที่เมืองกวงหลิง ชวนฉีจือเสวี่ยที่เป็นแขกของจวนจงหลีไปด้วยกัน จากนั้นทั้งสองได้นั่งรถม้าตรงไปยังสำนักศึกษาเฉี่ยนโมเพื่อหาตัวซูมู่ซิน
หลังจากเฉิงเจ๋อออกไปได้ชั่วครู่ องค์หญิงสี่หนิงฉู่ฉู่ก็มาถึงศาลากวนพู่และนั่งลงตรงข้ามกับจงหลีรั่วสุ่ย
“เหมือนว่าเจ้าจะจริงจังนะ ? ”
“ความจริง... ความจริงแล้วตอนนี้ในใจของหม่อมฉันกำลังขัดแย้งกันอย่างมาก”
หนิงฉู่ฉู่เงยหน้ามองไปทางจงหลีรั่วสุ่ยอย่างสงสัย “ที่พูดนี้หมายความเยี่ยงไร ? ”
“เป้าหมายงานชุมนุมวรรณกรรมวันที่ 3 เดือน 3 ณ ทะเลสาบฮั่วผิงนั้น หม่อมฉันไม่เพียงจัดขึ้นเพื่อปฏิเสธการสู่ขอของจวนเฉิงกั๋วกงเท่านั้น แต่หม่อมฉันยังทำเพื่อบอกกับคนทั่วใต้หล้าว่าสามีของจงหลีรั่วสุ่ยผู้นี้ มีเพียงจงหลีรั่วสุ่ยผู้เดียวเท่านั้นที่เป็นผู้ตัดสิน ! ”
“บทกวีภมรรักบุปผาที่องค์หญิงนำมาบทนั้นปรากฏตัวขึ้นมาได้พอดิบพอดี แน่นอนว่าทำให้หม่อมฉันตกใจเช่นกัน หากไม่มีกวีบทนั้น ถึงแม้จะตัดสินหาผู้ชนะได้แล้ว แต่สิ่งที่หม่อมฉันประกาศออกไปนั้นคืองานผูกสัมพันธ์ทางวรรณกรรม ส่วนเรื่องการคัดเลือกบุตรเขยนั้น......มันก็เป็นเพียงข่าวลือ”
“แน่นอน เมื่อเป็นเยี่ยงนี้ก็คงมีคนบ่นถึงหม่อมฉันหรือจวนจงหลีอยู่บ้าง แต่หม่อมฉันไม่สนใจ และจวนจงหลีก็ยิ่งหาได้สนใจไม่”
“ดังนั้นกวีบทนั้นจึงเข้ามาเพื่อช่วยขจัดปัญหาเรื่องนี้ได้พอดิบพอดี ทำให้เหล่าบัณฑิตต่างก็ยอมแพ้ทั้งกายและใจ... ส่วนหลี่เฉินอันผู้นั้น หม่อมฉันมีความสงสัยอยู่บ้างก็จริง แต่ก็เป็นเพียงความสงสัยเท่านั้น”
“ต่อให้เช้าตรู่หลายวันก่อนหน้านั้นจะได้พบกับเขาที่ศาลาเยียนหยู ต่อให้ยามนั้นเขาได้ประพันธ์ชิงซิ่งเออร์ขึ้นมาอีกหนึ่งบท... หม่อมฉันก็ไม่ได้รังเกียจรูปลักษณ์ของเขา ความสามารถของเขาทำให้หม่อมฉันประหลาดใจได้จริง ๆ แต่หากกล่าวว่าสิ่งนี้ทำให้หม่อมฉันชอบเขา”
จงหลีรั่วสุ่ยส่ายหน้า มุมปากยกขึ้นเล็กน้อย “แน่นอนว่าไม่ใช่”
“ต่อให้เราจะไปโรงสุราของเขาที่ตรอกเอ้อร์จิ่งโกวด้วยกันมาแล้ว คาดว่าพระองค์คงคิดว่าหม่อมฉันชอบเขาเข้าแล้วจริง ๆ ใช่หรือไม่ ? ”
“แท้จริงแล้วก็ยังไม่ใช่ดังเก่า หม่อมฉันก็แค่สงสัยว่าทำไมคนโง่เขลาคนหนึ่งถึงได้เกิดความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่เช่นนี้ได้ ? ดังนั้นจึงอยากไปดูสถานที่ที่เขาพักอาศัยอยู่ เพื่อเพิ่มความเข้าใจเท่านั้น แต่ก็ยังไม่สามารถพูดได้ว่าหม่อมฉันชอบเขาแล้ว”
“แน่นอนว่าในเรื่องนี้ก็มีความคิดเล็ก ๆ ของหม่อมฉันอยู่เช่นกัน ในยามที่ทุกคนคิดว่าหม่อมฉันชอบเขา เยี่ยงนี้ก็จะไม่มีผู้ใดมายุ่มย่ามกับหม่อมฉันแล้ว รวมถึงเฉิงเจ๋อด้วย แต่หม่อมฉันก็กังวลว่าจะนำพาอันตรายมาให้แก่เขาเช่นกัน ดังนั้นการที่พระองค์ให้เขาไปเป็นองครักษ์ซิ่วอีของหอลี่จิ้ง นับว่าช่วยแก้ไขความวุ่นวายนี้ได้”
หนิงฉู่ฉู่ชะงัก “เจ้าไม่ได้กำลังใช้ประโยชน์จากข้าใช่หรือไม่ ? ”
“พระองค์กล่าวอันใดกัน ? ” จงหลีรั่วสุ่ยเบนดวงตาคู่สวยกันมามอง “พระองค์ไม่ใช่อยากให้หม่อมฉันเป็นคนออกเงินเพื่อให้เขาเตรียมจัดหาสายลับจากทั่วทั้งกวงหลิงหรอกหรือ ! ”
“นอกจากนี้... องค์หญิงสี่ให้ความสำคัญกับเขามากถึงเพียงนี้ หรือว่าภายในใจของพระองค์ก็เริ่มมีความรู้สึกอันใดต่อเขาแล้วไม่ใช่หรือ ? ”
จงหลีรั่วสุ่ยโน้มตัวไปข้างหน้า หนิงฉู่ฉู่หน้าแดงก่ำและตวัดสายตามองจงหลีรั่วสุ่ย จากนั้นก็หันมองไปทางม่านน้ำตก “ไร้สาระ ! ”
“งานแต่งของข้ามีเสด็จพ่อเป็นผู้ตัดสิน ไหนเลยจะมีอิสระเฉกเช่นเจ้ากัน”
“ต่อให้ข้าสนใจเขาจริง ๆ แต่สถานะของเขานั้นก็ไม่เหมาะสม มันจะเป็นการทำร้ายเขาโดยสิ้นเชิง ดังนั้นภายภาคหน้าเจ้าอย่าได้กล่าวเยี่ยงนี้ต่อหน้าผู้อื่นอีก ถึงแม้จะเป็นการหยอกล้อ แต่หากมีผู้มีเจตนาร้ายมาได้ยินเข้าก็จะเป็นผลร้ายต่อเขาได้”
จงหลีรั่วสุ่ยหัวเราะน้อย ๆ และพยักหน้า “หม่อมฉันไม่ได้โง่พอจะหาเรื่องมาให้พวกท่านทั้งสองหรอก”
“เยี่ยงนั้น ตอนนี้เจ้าก็ยังจะใช้ประโยชน์เขาอยู่หรือ ? ” หนิงฉู่ฉู่มองไปทางจงหลีรั่วสุ่ยพร้อมเอ่ยถาม
ใบหน้าของจงหลีรั่วสุ่ยเกิดระลอกความสับสนขึ้นมา รอยยิ้มของนางหดหายไป สองมือเท้าวางใต้คาง หลังจากร่างบางครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่แล้ว จริงกล่าวว่า “ตอนนี้ แม้แต่ตัวหม่อมฉันเองก็ยังไม่แน่ใจเช่นกัน”
“มันเกิดอะไรขึ้น ถึงทำให้เจ้าเปลี่ยนไป ? ”
จงหลีรั่วสุ่ยหยิบกระดาษออกมาจากใต้แขนเสื้อ จากนั้นก็วางลงตรงหน้าหนิงฉู่ฉู่ “พระองค์สามารถปฏิเสธบุรุษหนุ่มที่สามารถประพันธ์บทกวีที่ดีถึงเพียงนี้ได้หรือ ? ”
หนิงฉู่ฉู่รับมาอ่านด้วยความสงสัย
“เชิญร่ำสุราหรือ ? ”
หลังจากนั้น นางก็ดำดิ่งไปกับกวีบทนี้
กวีบทนี้ไม่มีนามของผู้ประพันธ์ แต่นางทราบดีว่าจะต้องเป็นหลี่เฉินอันอย่างแน่นอน !
วันนั้นที่ศาลาเยียนหยู แท้จริงแล้วข้าได้พบกับคนแบบไหนกันแน่ ?
องค์หญิงสี่ผู้ที่มีหลักการอยู่เสมอรู้สึกเสียศูนย์ขึ้นมาในชั่วพริบตา
นางนึกถึงเรื่องราวขององค์หญิงอวี้ฮวากับอัครเสนาบดีชางสามัญชนผู้โด่งดังคนนั้น
.....
เฉิงเจ๋อและฉีจือเสวี่ยได้นั่งรถม้าไปถึงสำนักศึกษาเฉี่ยนโม่ในยามพลบค่ำ
หลังจากนั่งอยู่กับท่านอาวุโสฮัวที่สำนักศึกษาเฉี่ยนโม่ชั่วครู่ พวกเขาก็ตามซูมู่ซินไปยังร้านที่อยู่ฝั่งตรงข้าม
แต่แล้วประตูใหม่ของร้านเล็ก ๆ นั้นกลับปิดสนิท
“พลาดไปแล้ว ! ”
เฉิงเจ๋อค่อนข้างเสียใจยามเห็นประตูที่ปิดสนิทอยู่
“ช่วงนี้เขาออกไปข้างนอกน้อยมาก ได้ยินว่ากำลังปิดบ้านเพื่อกลั่นสุรา......ท่านอาจารย์กล่าวว่าเขาต้องการกลั่นสุราที่ดียิ่งกว่ากวงหลิงซ่านและรุ่ยลู่”
“แท้จริงแล้วท่านอาจารย์ตั้งใจจะออกไปจากเมืองกวงหลิงแล้ว แต่เพราะเขากล่าวว่ามีสุราที่กลั่นไว้อยู่ บางทีคงอยากจะลิ้มลองกระมัง”
ฉีจือเสวี่ยและเฉินเจ๋อที่ได้ยินดังนั้นต่างก็ชะงักไปชั่วครู่ “เป็นสุราที่ดีกว่ารุ่ยลู่อีกหรือ ? ”
“อือ เขากล่าวกับท่านอาจารย์เช่นนี้”
ทั้งสองหันสบสายตากัน “สุราของเขาต้องรออีกนานเท่าไหร่จึงจะกลั่นออกมาได้ ? ”
“เมื่อคืนวานเขามาที่สำนักศึกษาเฉี่ยนโม่หนึ่งครั้ง กล่าวว่าต้องรออีกประมาณห้าถึงหกวัน”
“เยี่ยงนั้น พวกเราก็รออยู่ที่เมืองกวงหลิงก่อนเถิด ดูเหมือนคงต้องรอให้ถึงวันพรุ่งนี้เสียก่อนถึงจะหาตัวเขาพบ ว่าแต่เจ้าเด็กผู้นี้แอบหนีหายไปที่ใดกันนะ ? ”
หลี่เฉินอันและหลี่เสี่ยวฮวาอยู่ที่ตรอกวัดซื่อเฉิน และกำลังยืนอยู่หน้าร้านขายหีบศพแห่งหนึ่ง
ประตูสีดำของร้านขายหีบศพปิดสนิท แต่กลอนคู่ที่ติดอยู่บนประตูนั้นกลับทำให้ดวงตาของหลี่เฉินอันเป็นประกาย
‘มาถึงที่นี่โปรดจงทราบ ไม่มีอันใดสำคัญนอกจากความเป็นความตาย’
‘ไปยังที่นั่นก็จงจำไว้ ฟ้าและดินต่างก็ยังมีจิตใจของผู้คน’
ทันใดนั้นหลี่เฉินอันก็เกิดความสนใจในตัวเจ้าของร้านขายหีบศพขึ้นมาในทันที
กลอนคู่นี้ประพันธ์ได้ดีมาก
จากบทกลอนคู่นี้ สื่อให้เห็นว่าเจ้าของร้านค่อนข้างมีความรู้ แต่นางกลับมีนามว่า ‘ชุ่ยฮวา’ นามที่ดูเรียบง่ายอย่างเห็นได้ชัด
“เสี่ยวฮวา เคาะประตู”
หลี่เสี่ยวฮวาเดินเข้าไป จากนั้นก็เคาะประตู
หลี่เฉินอันหันมองซ้ายขวา ทางขวาของร้านขายหีบศพคือวัดที่ไม่ใหญ่มาก ตรงประตูวัดมีป้ายเขียนอักขระขนาดใหญ่เอาไว้ว่า ‘วัดซื่อเฉิน’
ประตูวัดถูกแง้มเอาไว้ มีช่องเว้นไว้อยู่ วันนี้ฝนตก แสงสว่างมืดสลัว เมื่อมองลอดผ่านเข้าไปก็มองไม่เห็นว่าเทวรูปทั้งสี่ด้านในที่ตั้งไว้สักการะนั้นคือพระองค์ใด แต่คิดว่าวัดนี้คงอยู่มานานแล้ว เพราะเห็นได้ชัดว่านามของถนนเส้นนี้ก็ตั้งขึ้นมาจากชื่อวัด
ประตูของร้านขายหีบศพไม่มีที่เคาะประตู
หลี่เสี่ยวฮวาหันมามองหลี่เฉินอัน “คุณชาย ต้องพังประตูหรือไม่”
“พังหัวเจ้าสิ ! ”
“เคาะประตูไป”
หลี่เสี่ยวฮวาทำได้เพียงเคาะประตูต่อไป
เสียงเคาะค่อนข้างดุดัน ไม่เหมือนกับยามที่ฝนตกปรอย ๆ แต่เหมือนกับพายุ-่าฝนที่ตกในฤดูร้อน
ประตูบานนี้ก็ยังไม่ถูกเปิดออกดังเก่า แต่ประตูของวัดซื่อเฉินกลับเปิดออกแล้ว
เป็นแม่นางสวมชุดผ้าป่านลายดอกที่เดินออกมาจากด้านหลังประตู
แม่นางผู้นี้อายุอานามประมาณ 15-16 ปีได้
นางมัดผมทรงหางม้าไว้ ในมือของนางยังคงถือธูปไว้หนึ่งก้าน
นางเดินออกมา แล้วเงยหน้ามองหลี่เสี่ยวฮวา สูดลมหายใจอยู่สามอึดใจ จากนั้นร่างเล็กก็ระเบิดพลังจากภายในออกมาในพลัน “จะเคาะเสียงดังทำไม ? ”
“ไม่ทราบว่าตอนนี้คือเวลากราบบูชาของข้าหรือไร ? ”
“วันนี้ข้าไม่มีอารมณ์ ไม่ขายหีบศพ รีบไสหัวไป ! ”
หลี่เสี่ยวฮวาถูกตวาดจนผงะไป
หลี่เฉินอันกลับหัวเราะขึ้นมา “เจ้ามีนามว่าชุ่ยฮวาใช่หรือไม่ ? ”
นิยายแนะนำ
นิยายแนะนำ
ความคิดเห็น
COMMENT
เว็บไซต์นี้ใช้คุกกี้
เว็บไซต์นี้ใช้คุกกี้ เพื่อสร้างประสบการณ์นำเสนอคอนเทนต์ที่ดีให้กับท่าน รวมถึงเพื่อจัดการข้อมูลส่วนบุคคลเพื่อให้ท่านได้รับประสบการณ์ที่ดีบนบริการของเว็บไซต์เรา หากท่านใช้บริการเว็บไซต์นี้ต่อไปโดยไม่มีการปรับตั้งค่าใดๆ นั่นเป็นการแสดงว่าท่านอนุญาตยินยอมที่จะรับคุกกี้บนเว็บไซต์และนโยบายสิทธิส่วนบุคคลของเรา
userA???
???? ??? ? ???? ?? ??