เรื่อง ใต้หล้าโกลาหล (นิยายแปล)
องก์ 1 แรกพบ ณ วังหลวง
บทนำ กลียุค
เขารักนาง ภูผาธาราใต้หล้าล้วนมิอาจเทียบหนึ่งรอยยิ้มและใบหน้ายามกังวลของนางได้
ทว่านางกลับมีเจ้าของดวงใจอยู่แล้ว นางต้องการอิสรเสรี แต่เขากลับควบคุมผูกมัด!
วังลึกเล่ห์กลซับซ้อน บุญคุณความแค้นระหว่างแว่นแคว้นพัวพันยุ่งเหยิง
ท่ามกลางกลียุคอันวุ่นวายนี้ ความจริงใจค่อยๆ ตายจากไป
มีเพียงนางและเขาที่ยังคงยึดมั่นในคำสัตย์สาบาน ล่มเมืองสยบใต้หล้า!
…
ปลายฉินต้นฮั่นคือสารทฤดูอันโกลาหลวุ่นวาย ขณะราชวงศ์ฉินผู้โหดเหี้ยมกำลังล่มสลาย แคว้นฉู่และฮั่นต่อสู้แย่งชิงอำนาจ เพียงชั่วเวลาเดียวสงครามได้พรากชีวิตผู้คนบาดเจ็บล้มตายนับไม่ถ้วน ราษฎรทั่วหล้ายากแค้นเกินกว่าจะเอื้อนเอ่ย
ทว่าท่ามกลางกลียุคอันวุ่นวายนี้ ยังคงมีแดนสุขาวดีอยู่แห่งหนึ่ง
หลังฉางซานอ๋องจางเทียนหยางนั่งครองเมืองซิ่นตู ดำเนินการกวาดล้างศัตรูภายนอกรวดเร็วเฉียบขาด ปกครองด้วยความวิริยอุตสาหะรักปวงประชา นับแต่นั้นมาซิ่นตูจึงสงบสุขปลอดภัย ชาวบ้านได้ใช้ชีวิตอยู่เย็นเป็นสุข ห่างไกลไฟสงคราม
หารู้ไม่ฉางซานอ๋องผู้ซึ่งเดิมทีไม่ต้องการพัวพันกับยุคสมัยอันวุ่นวาย กลับฝ่าทวนกระแสคลื่นพลิกฟื้นสถาปนาแคว้นจ้าวที่ล่มสลายไปแล้วขึ้นใหม่อีกครั้งเพื่อสตรีผู้หนึ่ง!
“ิเอ๋อร์ เจ้ายินดีแต่งงานกับข้าจริงหรือ”
เสวี่ยิยังคงลังเล นางมีคนในดวงใจอยู่แล้ว แต่เมื่อแคว้นสูญสิ้น ที่ใดเล่ายังจะเรียกว่าบ้าน ไหนเลยจะยังมีเรื่องใช้ชีวิตครองคู่กับคนรักไปจนแก่เฒ่าให้พูดถึง!
มีเพียงจางเทียนหยางผู้เดียวที่สามารถช่วยนางฟื้นคืนแคว้นจ้าวขึ้นมาใหม่ได้อีกครั้ง แต่งให้เขามีค่าเท่ากับสร้างรากฐานแคว้นจ้าวให้คืนกลับมา และเป็นคำสั่งเสียสุดท้ายก่อนเสด็จพ่อลาโลกไป
…
รถม้าตกแต่งงามวิจิตรคันหนึ่งค่อยๆ เคลื่อนตัวตามขบวนเข้ามาจากที่ไกลๆ ตัวรถประดับผ้าไหมแพรต่วนสีเขียวแดง แลดูหรูหรารื่นเริงเป็นมงคล
บุรุษร่างสูงใหญ่ผู้หนึ่งขี่ม้านำเบื้องหน้า เรือนกายสูงโปร่งสง่าผึ่งผายสวมเสื้อคลุมยาวสีหมึกจากผ้าแพรชั้นดี บนเสื้อคลุมปักลายใบไผ่งามประณีต เอวคาดเข็มขัดหยก ประกายแสงส่องสะท้อนปิ่นหยกมันแพะบนศีรษะเขา เครื่องแต่งกายสีดำตลอดร่างก็ไม่อาจบดบังท่วงท่าองอาจห้าวหาญอันโดดเด่นนี้ ดึงดูดสายตาผู้คนมากมายให้มองมา
“ฉางซานอ๋องมาแล้ว นี่เป็นขบวนรถม้าของฉางซานอ๋อง!” กลุ่มชาวบ้านที่มุงดูสองข้างทางร้องตะโกนด้วยความตื่นเต้น
“เป็นคุณชายเรานี่แหละที่ปกครองฉางซานจนเจริญรุ่งเรืองยิ่งกว่าเสียนหยาง!”
“ฉางซานอ๋องรูปงามภูมิฐาน แม่นางคนใดได้แต่งให้เขาจะต้องโชคดีมากเป็นแน่แท้”
ชายหนุ่มยกคางขึ้นเล็กน้อย ดวงตารูปเมล็ดซิ่ง[1] ทอประกายแวววาวดุจทางช้างเผือก ราศีแห่งจักรพรรดิเผยตรงหว่างคิ้ว องคาพยพทั้งห้าเด่นชัด แววตาคมปลาบลึกล้ำ ให้ความรู้สึกกดดันชนิดหนึ่งแก่ผู้คนโดยไม่รู้ตัว!
ไม่ว่าแผ่นดินหรือสันติสุข สิ่งใดเล่าไม่ต้องผ่านความยากเย็นแสนเข็ญกว่าจะได้มา หนทางคดเคี้ยว ต่อสู้ฟาดฟันทั้งสติปัญญาและความกล้าหาญ เข่นฆ่าสังหารในสนามรบ วางอุบายหลอกล่อกันไปมาในราชสำนัก
คิ้วเข้มของเขาขมวดเข้าหากันเบาๆ เอียงกายเล็กน้อยพร้อมทอดสายตามองรถม้าเบื้องหลัง ความคิดหลุดลอยไปยังสถานที่ห่างไกล
…
เขาคือฉางซานอ๋องจางเทียนหยาง ยามนี้มีแขกเหรื่อที่หน้าประตูจำนวนนับไม่ถ้วน ชื่อเสียงปรีชา ความสามารถระบือไกล ทว่าไม่มีผู้ใดล่วงรู้นามแท้จริงของเขา
ตัวเขาเวลานั้นอาศัยอยู่ที่เมืองวั่ยหวง ศึกใหญ่ระหว่างแคว้นฉินกับแคว้นเว่ยดำเนินมานานหลายเดือน คุณชายเว่ยเว่ยอู๋จี้ส่งเขาไปเป็นทูตขอความช่วยเหลือจากแคว้นจ้าว ทันทีที่ฝ่าเท้าเหยียบย่างสู่แผ่นดินจ้าว ชั่วเวลานั้นชะตากรรมของผู้คนมากมายก็ได้เปลี่ยนแปลงไปตลอดชีวิต
เมื่อไม่นานมานี้ จางเทียนหยางเคยคิดจะท่องเที่ยวพเนจรไปชั่วชีวิต กลับคิดไม่ถึงว่าเขาเผลอหลงรักคนผู้หนึ่งเข้าเสียได้!
และตอนนี้ก็กำลังจะแต่งงานกับผู้หญิงที่เขารักมากที่สุดในชีวิตนี้...จ้าวเสวี่ยิ
สายลมเย็นพัดเอื่อย ม่านลูกปัดสีแดงของรถม้าเลิกขึ้นมุมหนึ่งเล็กน้อย เผยใบหน้าสตรีนวลละมุนงามล่มเมือง
คนในรถม้าสวมชุดกระโปรงผ้าปักสีแดงสดปักดิ้นทองยาวสยาย ชั้นนอกคลุมสายสะพายสยาเพ่ย[2] ปักลายนกยูงคู่เมฆาสีแดงอมม่วงห้อยประดับเครื่องทอง ริมฝีปากมิได้แต้มชาดแต่แดงเรื่อ คิ้วมิได้วาดเส้นแต่ดกดำ นัยน์ตาสุกใสดุจผลซิ่ง ผิวพรรณนวลเนียนเกลี้ยงเกลา เอวเพรียวบางดุจต้นหลิว ดูมีน้ำมีนวล กิริยาท่าทางช่างสุภาพเยือกเย็นดั่งบุปผาสะท้อนผิวน้ำ รูปโฉมงามล่มเมืองพาให้คนร้องอุทานชื่นชมไม่หยุดปาก
มงกุฎหงส์ครอบสูงเหนือมวยผม สยาเพ่ยขับดวงหน้างามล้ำโดดเด่น เสวี่ยินั่งในรถม้าอย่างเงียบเชียบ รอคอยผู้เป็นสามีรับนางเข้าเรือน
ล่มเมืองสบแสวงกลางิะ ล่มแคว้นสาดแสงส่องไร้นาม ได้ครองนวลแก้มงาม ทั่วใต้หล้าร่มเย็น
กาลครั้งหนึ่งโหราจารย์แคว้นฉินได้ทำนายไว้ ‘ผู้ใดได้ครอบครองจ้าวเสวี่ยิ ผู้นั้นได้ครองใต้หล้า’
แต่ก็เพราะเพียงวาจาเดียวนี้ ชักนำให้บรรดาแคว้นใหญ่ทั้งฉิน ฮั่น ฉู่ จ้าว และไต้เกิดการพิพาทขัดแย้ง
…
หลายปีก่อน อิ๋งเจิ้งแห่งแคว้นฉินรวมแผ่นดินขึ้นเป็นใหญ่ แสดงท่าทีแข็งกร้าวต้องการรุกรานแคว้นเว่ย แนวชายแดนแคว้นจ้าวและแคว้นเว่ยวุ่นวายด้วยภัยสงครามตลอดปี ราษฎรทุกข์ยากเกินบรรยาย
ขณะทอดมองเมฆรุ้งห่างไกล แสงอาทิตย์ลอดส่องลงมาดูเงียบเหงาหลายส่วน อากาศต้นวสันต์ยังหนาวเย็นอยู่เล็กน้อย ข้างสระน้ำเย็นสีมรกต หญิงสาวผู้หนึ่งยืนสูงเด่นเป็นสง่าอยู่ ณ ที่แห่งนั้น ผ่องแผ้วดุจนางเซียน ยืนหยัดไม่แยแสโลกหล้า ดุจดั่งเทพธิดาจุติลงมา ชวนให้คนใจสั่นไหว
ดรุณีน้อยนามว่าจ้าวเสวี่ยิ เป็นองค์หญิงรองแห่งแคว้นจ้าว เนื่องจากกำเนิดในวันิะตกจึงได้ชื่อว่า ‘งามล่มเมืองสบแสวงกลางิะ[3]’
ลมหนาวเย็นเยือกพัดผ่านใบหน้า เสวี่ยิกลับมิได้ระคาย สำหรับนางแล้วการใช้ชีวิตอยู่ในวังทั้งวัน เปรียบเหมือนนกที่ถูกกักขังไว้ในกรง แม้ในวังจะอบอุ่นดุจแสงอาทิตย์ แต่เพื่อให้ได้หลบหนีออกมา นางยอมหนาวเย็นจนตัวแข็งดีกว่า
“เหตุใดต้องสู้รบกันด้วย” เสวี่ยิมองเห็นบ้านเรือนชำรุดพังทลายระหว่างทาง หลากหลายความรู้สึกได้ปะปนกันในใจ
เดิมทีนางเคยคิดว่ารั้ววังอุดอู้ไม่มีอิสรเสรีเท่าข้างนอก ตอนเด็กๆ มักแอบวิ่งหนีออกนอกวังอยู่บ่อยครั้ง แต่ก็เพียงเล่นสนุกครู่หนึ่งแล้วกลับ ต่อมาจ้าวอ๋องอนุญาตให้นางออกมาเที่ยวเล่นนอกวังได้ จึงหลบออกมาจากสถานที่แสนอึดอัดหายใจไม่ออกแห่งนี้ มองหาความสงบเล็กๆ น้อยๆ
เพียงแต่คิดไม่ถึงว่า ความโกลาหลวุ่นวายในช่วงกลียุค และไฟสงครามลุกโชนปลิวว่อนนับครั้งไม่ถ้วน ใต้หล้าได้เข้าสู่สถานการณ์ใหม่เรียบร้อยแล้ว
“ศึกสงครามวุ่นวาย...” เสวี่ยิถอนหายใจแผ่วเบา นางเห็นการต่อสู้แก่งแย่งชิงดีในวังหลวงมาตั้งแต่เด็ก เบื่อหน่ายกับชีวิตในวังมานาน ปรารถนาอิสรภาพและความสงบสุขในช่วงเวลากลียุค
ทว่ายุคสมัยแห่งความวุ่นวายจ่อเยือนตรงหน้า ตนจะปีนออกมาจากบึงลึกนี้ได้อย่างไร
…
นอกเมืองวั่ยหวงแคว้นเว่ย ณ เวลานี้เสียงกู่ร้องตะโกนฆ่าดังลั่นสะเทือนฟ้า ไฟสงครามปลิวว่อน เขม่าควันดินระเบิดฟุ้งตลบ อาทิตย์อัสดงสะท้อนแผ่นฟ้า เมืองวั่ยหวงดุจดั่งตะวันใกล้ลับขอบฟ้าอาบย้อมด้วยสีเลือดแดงฉาน ศพทหารตายเกลื่อนกลาดบนสนามรบ
ซิ่นหลิงจวินเว่ยอู๋จี้สู้ศึกกับจางหานแม่ทัพใหญ่แห่งแคว้นฉินมาเป็นเวลาสามวันสามคืนแล้ว แม้จะพร้อมด้วยสติปัญญาและกลอุบาย แต่เมื่อเผชิญลูกธนูปาน-่าฝนอันน่าชังก็ยากจะโค่นล้มขุนพลฝ่ายศัตรูลงได้ ขืนยังดึงดันคุมเชิงกันเช่นนี้ต่อไป ไม่ช้าก็เร็วเมืองวั่ยหวงย่อมต้องตกเป็นของในกระเป๋าแคว้นฉิน
ท่ามกลางฝนธนูเปลวเพลิงลุกลาม ทันใดนั้นบุรุษอาภรณ์ดำผู้หนึ่งได้นำทหารชั้นยอดหลายนายควบม้าบุกฝ่าวงล้อม ลูกธนูนับไม่ถ้วนเฉียดผ่านร่างเขา ทหารรอบตัวเบี่ยงหลบไม่ทัน เสียชีวิตใต้ธนูยิงกระหน่ำ เสียงร้องโหยหวนดังติดต่อกันเสียงแล้วเสียงเล่า
ทว่าไม่มีเวลาให้ถอนใจไว้อาลัย เขาเข้าใจดีว่าหากไม่สามารถฝ่าวงล้อมออกไปขอความช่วยเหลือจากแคว้นจ้าวได้ นั่นหมายความว่าผู้สูญเสียไม่ได้มีแค่ทหารไม่กี่นายเหล่านี้ แต่หมายถึงทั้งเมืองวั่ยหวงรวมไปถึงไพร่ฟ้า
รอบกายเต็มไปด้วย-่าฝนธนู เขาขยับร่างหลบลูกธนูไล่ล่าหมายเอาชีวิตแต่ละดอกอย่างคล่องแคล่วว่องไว นำพาความหวังของคุณชายเว่ยและภารกิจอันหนักอึ้งในการช่วยแคว้นเว่ยให้พ้นภัย มุ่งหน้าสู่แคว้นจ้าว
“จางเอ่อร์ มีเพียงเจ้าที่จะทำให้แคว้นจ้าวช่วยแคว้นเว่ยได้!” ด้านหลังนั้นซิ่นหลิงจวินผู้มีบาดแผลเต็มตัวยังคงตะโกนถ้อยคำดังสุดเสียง สะเทือนลั่นชั้นฟ้า
จางเอ่อร์ควบม้าห้อตะบึง ตลอดทางผ่านบ้านเรือนมากมายที่ถูกทำลายจากภัยสงคราม เขาดึงบังเหียนหยุดม้า ภายในใจเต็มไปด้วยอารมณ์ซับซ้อน
สถานที่เหล่านี้เคยเป็นบ้านเรือนของชาวบ้านผู้บริสุทธิ์ บัดนี้เพราะต้องหลบหนีภัยสงคราม พวกเขากลับต้องไปจากที่นี่
ไม่ว่าจะเป็นระหว่างแคว้นด้วยกันเองหรือในท้องพระโรงราชสำนัก ที่ใดมีคน ที่นั่นย่อมมีการแย่งชิงอำนาจและผลประโยชน์
ต่อให้จางเอ่อร์จะชิงชังสงครามมากเพียงใด บัดนี้กลับจำต้องลงสู่สนามด้วยตัวเอง เส้นทางสายนี้ถูกกำหนดไว้ให้มีคนเหยียบย่ำเดินไป หากเปลี่ยนเป็นผู้อื่น เช่นนั้นมิสู้เป็นตัวเขาไปเองดีกว่า!
เพียงแต่การต่อสู้แย่งชิงจะยุติลงเมื่อใดเล่า...เวลานี้ถ้อยคำทอดถอนใจรำพันของจางเอ่อร์ได้ประสานซ้อนทับกับหญิงสาวผู้หนึ่งที่อยู่ห่างไกล
…
เชิงอรรถ
นิยายแนะนำ
นิยายแนะนำ
ความคิดเห็น
COMMENT
เว็บไซต์นี้ใช้คุกกี้
เว็บไซต์นี้ใช้คุกกี้ เพื่อสร้างประสบการณ์นำเสนอคอนเทนต์ที่ดีให้กับท่าน รวมถึงเพื่อจัดการข้อมูลส่วนบุคคลเพื่อให้ท่านได้รับประสบการณ์ที่ดีบนบริการของเว็บไซต์เรา หากท่านใช้บริการเว็บไซต์นี้ต่อไปโดยไม่มีการปรับตั้งค่าใดๆ นั่นเป็นการแสดงว่าท่านอนุญาตยินยอมที่จะรับคุกกี้บนเว็บไซต์และนโยบายสิทธิส่วนบุคคลของเรา
userA???
???? ??? ? ???? ?? ??