เรื่อง ขุนปราบสวาทกาม 18+
ขุนปากามา
ที่ 9 | นางพญางูขาว
ถ้ำอสรพิษ เป็นหนึ่งในถ้ำลับแล ที่ถึงจะรู้ว่ามีอยู่ แต่ก็มีน้อยคนนักที่จะเข้าไปถึงมันได้ เพราะการจะไปให้ถึงที่นี่ได้นั้นมักยากเหลือเกิน ซึ่งครั้งนี้ก็เป็นครั้งแรกที่ทัพจะเดินทางไปยังสถานที่แห่งนี้ ถ้ำอสรพิษนั้นไม่ทางเข้าที่แน่นอน ทั่วทั้งผืนป่ามีทางเชื่อมที่จะไปถึงมันได้ทั้งหมด เลยทำให้บางคนก็เล่าว่ามันอยู่ที่ป่าเหนือ บางคนก็เล่าว่ามันอยู่ที่ป่าทางใต้
โดยการจะเดินทางไปยังถ้ำอสรพิษนั้น จะต้องก้าวข้ามเครือเถาหลง แล้วหาดอกกล้วยไม้อสรพิษให้เจอ จากนั้นก็เดินไปตามทิศทางที่ยอดของกล้วยไม้อสรพิษชี้ไป ก็จะไปถึงถ้ำอสรพิษได้ ซึ่งทัพก็ได้ฟังเรื่องนี้มาจากพระอาจารย์ผู้เป็นคนสอนวิชาอาคมให้เขา และเขาก็เคยลองเดินทางไปยังถ้ำอสรพิษหลายครั้งแล้ว แต่เขาก็ไม่เคยไปถึงมันได้เลย
"ฮ่าส์ ฮ่าส์" ซึ่งมันก็ดูเหมือนว่าครั้งนี้เขาจะคว้าน้ำเหลวอีกตามเคย เพราะนี่มันก็นานมากแล้วที่เขาก้าวข้ามเครือเขาหลงมา จนต้องมาเดินอยู่ในป่าแบบนี้ แต่เขาก็มองหากล้วยไม้อสรพิษไม้เจอเสียที กล้วยไม้อสรพิษเป็นไม้เลื้อยที่จะเกาะอยู่บนกิ่งของต้นไม้สูง มันนั้นมีดอกสีดำสนิททั่วทั้งดอก และมีเกสรสีแดงสด
"สีนิล ดูข้าว่าเราแยกกันไปหากล้วยไม้อสรพิษดีกว่า ไม่เช่นนั้นถ้าเป็นนี้ต่อไป เราคงต้องตายในป่ามนตรานี้เป็นแน่" ทัพลงมาจากเจ้าสีนิล จากนั้นก็พูดกับมัน ม้าอาคมที่ได้ฟังแบบนั้น ก็แยกไปตัวค้นหากล้วยไม้อสรพิษตามที่ผู้เป็นนายบอก ซึ่งเพียงชั่วพริบตาเดียวที่เจ้าสีนิลวิ่งหายไป ป่าที่สว่างไสวก็มืดลงทันที
"ข้าล่ะเกลียดเจ้าจริงๆ เจ้าเครือเถาหลง" ทัพที่เห็นแบบนั้น ก็พึมพำขึ้นมา เพราะเครือเถาหลงไม่ได้ทำให้เขาหลงป่าเท่านั้น แต่ยังทำให้เขาไม่รู้ช่วงเวลาด้วย ซึ่งนี่ก็เป็นอีกความยากหนึ่งในการไปยังถ้ำอสรพิษ เพราะเครือเถาหลงมันอาจทำให้เขาหลงป่าจนตายได้
หลังจากที่ทัพแยกกับเจ้าสีนิล เขาก็เดินตามหากล้วยไม้อสรพิษอยู่สักพัก แต่เขาก็ยังหามันไม่เจอเสียที แถมป่าทั้งป่ายังมืดไปหมดอีกต่างหาก การมองหากล้วยไม้สีดำแบบนั้น ก็เลยยิ่งยากเข้ากันใหญ่ และเขาเองก็อ่อนล้าเต็มทนแล้วด้วย เขาก็เลยเอนตัวลงไปพิงต้นไม้ใหญ่ที่อยู่ด้านหลังเพื่อพักเหนื่อย
"หากพวกเจ้าเข้ามา ข้าจะทำให้พวกเจ้าไปผุดไปเกิดไม่ได้อีกเลย" จากนั้นเขาก็พูดขึ้นมา พร้อมกับหยิบดาบเหล็กไหลเนื้อสีดำลงมาปักพื้นเบื้องหน้าไว้ เพราะสัมภเวสีที่ตายจากการหลงป่าเพราะเครือเถาหลง จ้องที่จะเข้ามาเล่นงานเพื่อกลืนกินวิญญาณของเขา แต่พวกมันก็ทำได้แค่วนเวียนอยู่รอบๆ เท่านั้น เพราะเกรงกลัวในวิชาอาคมของ
ทัพที่นั่งพักจนหลับไปครู่หนึ่งก็ได้ยินเสียงอะไรบางอย่าง กำลังเดินตรงมายังเขา เขาก็เลยค่อยๆ ลืมตาขึ้นมาดู ถึงได้เห็นว่ามันคือเจ้าม้าสีนิล ที่กำลังเดินตรงมาด้วยสีหน้าไม่ค่อยสบอารมณ์เท่าไหร่ เขาที่เห็นแบบนั้นก็รู้ได้ทันที ว่ามันเองก็หากล้วยไม้อสรพิษไม่เจอเช่นเดียวกัน และก็เหมือนว่ามันจะหลงป่าด้วย
"ทำหน้าเยี่ยงนั้น เจ้าเองก็คงหาดอกไม้ป่านั่นไม่เจอเหมือนกันสินะ" ทัพก็เลยพูดกับมันพลางยิ้มไปด้วย ถึงแม้เจ้าสีนิลจะตอบเขากลับมาไม่ได้ แต่มันก็ฟังที่เขาพูดเข้าใจทุกอย่าง ซึ่งมันก็เป็นคลายเหงาทัพได้ไม่น้อยในเวลาแบบนี้ และในจังหวะที่ทัพกำลังพูดคุยกลับเจ้าสีนิลอยู่นั้น จู่ๆ ฟ้าก็สว่างขึ้นมา ทัพที่เห็นแบบนั้นก็เลยแหงนหน้าขึ้นไปมองท้องฟ้า เพื่อให้ท้องฟ้าอันสว่างไสวนี้ ช่วยคลายความอ่อนล้าของตัวเอง แต่ทว่าสายตาเขาเห็นเข้ากับบางอย่าง
"ดูเหมือนว่าชะตาจะเข้าข้างเรานะเจ้าสีนิล" ทัพที่เข้ากับสิ่งนั้น ก็พูดขึ้นมาพร้อมกับรอยยิ้ม เพราะที่ปลายสายตาของเขานั้นมีกล้วยไม้อสรพิษ เกาะอยู่บนกิ่งของต้นไม้ที่เขากำลังนั่งพิงอยู่ และจากก็ดูเหมือนว่าจะมีเพียงแค่จุดนี้ที่จะสังเกตเห็นมันได้ เพราะมุมอื่นๆ ถูกกิ่งก้านขนาดใหญ่โตของมันบดบังเอาไว้
"ย๊า!!!!!!" ทัพที่เห็นแบบนั้น ก็ลุกขึ้นแล้วกระโจนขึ้นไปควบเจ้าสีนิล ตรงไปยังทิศทางที่ยอดของกล้วยไม้อสรพิษชี้ทันที เพราะเขาต้องแข่งกับเวลา ถ้าช้าไปแม่หญิงจันทร์วาดอาจจะรอเขาไม่ไหวก็ได้
แต่ทว่าเขาก็ยังไม่เจอกับถ้ำลับแลนั่นเสียที ทั้งๆ ที่เขาก็-วยเจ้าสีนิลมาไกลจากต้นไม้ใหญ่ต้นนั้นมากแล้ว แต่ก็ไม่เห็นวี่แววของถ้ำอสรพิษเลย ไม่ว่าจะมองไปทางไหนก็มีแต่ผืนป่า และต้นไม้ จากที่เขาเคยได้ฟังจากพระอาจารย์ ท่านเล่าเอาไว้ว่า หลังจากที่ท่านได้เจอกับกล้วยไม้อสรพิษ ท่านก็เดินไปตามทางที่ยอดของมันชี้ไป จากนั้นไม่นานท่านก็ได้เจอกับถ้ำอสรพิษอยู่ที่ปลายทาง แต่นี่เขาก็ควบเจ้าสีนิลมานานมากแล้ว ทำไมถึงยังไม่เห็นวี่แววของถ้ำเลย
"ควบม้า ควบม้าสินะ" ทัพที่คิดอะไรขึ้นมาได้บางอย่าง ก็พึมพำขึ้นมา จากนั้นเขาก็เสกให้เจ้าสีนิลหายไป แล้วลงมายืนอยู่บนพื้นดินแทน ก่อนที่จะเดินตามทางต่อไป และก็ดูเหมือนว่าเขาจะคิดถูก เพราะเขาเริ่มพบเจองูเลื้อยอยู่ตามกิ่งไม้ และได้ยินเสียงอะไรบางอย่างดังอยู่ข้างหน้า เขาก็เลยรีบก้าวเท้าให้เร็วขึ้นอีก ส่วนงูที่เลื้อยอยู่บนต้นไม้ และพื้นดิน ก็เลื้อยตามเขาอยู่ห่างๆ เพราะกลัวอาคมของทัพ
จนสุดท้ายเขาก็ได้เจอเข้ากับถ้ำลับแลอย่างที่พระอาจารย์เคยเล่าให้ฟัง ถ้ำขนาดใหญ่ที่มีงูอาศัยอยู่เป็นจำนวนมาก ส่วนเสียงที่เขาได้ยินก็คือลมที่พัดเข้าไปในปากถ้ำนั่นเอง เขาที่เห็นแบบนั้นแล้ว ก็หยิบดาบเหล็กไหลออกมา เพราะมีความเป็นไปได้สูงที่เขาจะต้องต่อสู้กับนางพญางูขาว ถึงเขาไม่ได้จะตั้งใจที่จะมาสู้กับนางก็ตาม
ทัพที่เข้ามาในถ้ำแล้ว ก็เดินไปตามทางเรื่อยๆ ซึ่งด้านในถ้ำนี้ก็มีงูขดตัวซ่อนอยู่ตามโขดหินไม่ใช่น้อยเลย สมกับชื่อถ้ำอสรพิษของมัน แต่ที่น่าแปลกใจที่สุดก็คือ ด้านในถ้ำมันสุกสว่างเป็นอย่างมาก ดูเหมือนว่าภายในเนื้อหินจะมีผลึกที่สามารถส่องแสงได้ผสมอยู่ มันถึงได้ส่องแสงสว่างออกมาได้แบบนี้ ทัพที่เดินเข้ามาลึกขึ้นเรื่อยๆ ก็พบเจอเข้ากับจุดที่น่าจะเป็นที่พำนักของนางพญางูขาว เพราะมันมีเตียงและโต๊ะตั้งอยู่
"เจ้าเป็นใคร เข้ามาที่นี่ด้วยเหตุอันใด" จากนั้นเสียงของหญิงสาวก็ดังก้องขึ้นมา ทัพที่ได้ฟังแบบนั้นก็หันซ้ายหันขวาเพื่อหาที่มาของเสียง จนได้เห็นเข้ากับ หญิงสาวคนหนึ่งที่ยืนอยู่บนโขดหินตรงหน้าเขา นางมีผมสีขาวยาวสลวย ใบหน้างดงามดุจนางฟ้านางสวรรค์ ดวงตาตาสีเหลืองอำพันที่งดงามไม่ต่างอะไรกับใบหน้า และเรือนร่างบางผิวขาวใสที่อยู่ภายใต้ชุดผ้านุ่งตัวบางสีขาว
"ข้าถามว่าเจ้าเป็นใคร เหตุใดถึงเข้ามาที่นี่" นางพญางูขาวที่เห็นว่าทัพไม่ตอบคำถามของนาง ก็พูดขึ้นมาอีกครั้ง พร้อมกับลอยตัวลงมาจากโขดหิน แล้วลงมายืนอยู่ตรงหน้าทัพ
"ข้าชื่อทัพ คนที่ข้ารู้จักนางถูกมนตร์นากินี ข้าเลยมาที่นี่เพื่อขอเกล็ดของท่านไปรักษานาง" ทัพที่ได้สติกลับมาหลังจากที่หลงใหลไปความงามของนางอยู่ครู่หนึ่ง ก็ตอบนางกลับไป
"ข้าจะรู้ได้อย่างไรว่าสิ่งที่เจ้าพูดเป็นความจริง คนที่มาที่นี่ก็ล้วนแต่ลุ่มหลงไปกับวิชาอาคมกันทั้งนั้น เจ้าเองก็เป็นผู้มีอาคมเหมือนกันไม่ใช่หรอ พวกจอมขมังเวทย์น่ะมันเชื่อไม่ได้หรอก" นางพญางูขาวตอบทัพกลับไป เพราะผู้เข้ามายังสถานที่แห่งนี้ ก็ล้วนแต่ต้องการหัวใจของนางไปทำเครื่องรางของขลังกันทั้งนั้น พอพูดจบนางก็นางก็ตวัดมือตะปบเข้าไปที่หน้าของทัพทันที
เคล้ง!!!!! แต่ทว่าทัพก็ยกดาบเหล็กไหลขึ้นมากันเอาไว้ได้ทัพ นางพญางูขาวที่เห็นแบบนั้นก็ร่ายคาถาที่จะเสพให้ทัพกลายเป็นหินขึ้นมา แต่ทว่าทัพกลับเข้าไปประชิดร่างของนาง แล้วดึงตัวนางเข้ามาไว้ในอ้อมแขน ก่อนที่จะร่ายคาถาอะไรบางอย่างใส่นาง ทำเอาร่างบางอ่อนแรงจนต้องขยับฝ่ามือเรียวบางขึ้นมาเกาะแผงอกเขาไว้
"เจ้า....เจ้าทำอะไรข้ากัน" นางที่เห็นว่าร่างกายตัวเองอ่อนแรงขนาดนั้น ก็พูดขึ้นมาด้วยเสียงแผ่วเบา
"อันที่จริงข้าก็ไม่อยากทำเยี่ยงนี้หรอก แต่ว่าข้าไม่มีเวลาแล้ว ไม่เช่นนั้นคนที่รอข้าอยู่จะตายเสียก่อน" พอพูดจบทัพก็กระชับอ้อมแขนที่โอบเอวนางอยู่ให้แน่นขึ้น พาเอาร่างบางของนางแนบชิดไปกับลำตัวเขาแน่นขึ้นอีก จากนั้นทัพก็กดริมฝีปากประกอบจูบลงไปที่ริมฝีปากบางอมชมพูของนาง ซึ่งในจังหวะที่ทัพกดริมฝีปากลงไปนั้น เรือนร่างที่อ่อนแรงเมื่อครู่ ก็ร้อนผ่าวขึ้นมาด้วยตัณหา เพราะมนตร์ที่ทัพเป่าใส่นางเมื่อครู่ คือคาถามหาละลวยนั่นเอง
โปติดตามต่อไป
นิยายแนะนำ
นิยายแนะนำ
ความคิดเห็น
COMMENT
เว็บไซต์นี้ใช้คุกกี้
เว็บไซต์นี้ใช้คุกกี้ เพื่อสร้างประสบการณ์นำเสนอคอนเทนต์ที่ดีให้กับท่าน รวมถึงเพื่อจัดการข้อมูลส่วนบุคคลเพื่อให้ท่านได้รับประสบการณ์ที่ดีบนบริการของเว็บไซต์เรา หากท่านใช้บริการเว็บไซต์นี้ต่อไปโดยไม่มีการปรับตั้งค่าใดๆ นั่นเป็นการแสดงว่าท่านอนุญาตยินยอมที่จะรับคุกกี้บนเว็บไซต์และนโยบายสิทธิส่วนบุคคลของเรา
userA???
???? ??? ? ???? ?? ??