เรื่อง เกิดใหม่สุดยอดตัวประกอบผู้ร่ำรวยในยุค80
15 2-2
ตอนที่29 พวกบ้านนอกไร้การศึกษา
“พ่อคะ ถ้าเรื่องทุกอย่างจบลงแล้ว พ่อกับแม่จะรีบไปรับหนูกลับบ้านจริงๆเหรอคะ? พ่อต้องไม่ปล่อยให้หนูตกนรกทนอยู่บ้านนอกแบบนั้นไปชั่วชีวิตนะคะ!”
ได้ยินคำยินยอมจากปากลูกสาวเช่นนี้ กู่กัวเฉิงจึงเร่งพยักหน้าตอบกลับโดยเร็ว
“แน่นอนสิลูก แน่นอนอยู่แล้ว! พ่อกับแม่ไม่มีวันปล่อยให้ลูกต้องตกระกำลำบากอย่างแน่นอน! ที่สำคัญ ลูกเดินทางไปคราวนี้ พ่อจะจัดเตรียมสิ่งอำนวยความสะดวกให้ครบถ้วนเลยล่ะ! ไม่ว่าจะเป็นอาหาร ขนม เสื้อผ้า ชุดเครื่องนอนขนห่านอย่างดี! ทนอยู่บ้านนอกไม่กี่วันเองนะลูก เดี๋ยวพ่อจะรีบไปรับกลับมา!”
คล้อยหลังได้ยินคำสัตย์ตกปากรับคำจากผู้เป็นพ่อ กู่หวานหวานจึงค่อยรู้สึกผ่อนคลายขึ้นมาก ปาดเช็ดน้ำตาที่เปรอะเปื้อนสองแก้ม ปล่อยให้กู่กัวเฉิงจากไปโดยไม่พูดอะไรต่อ
หลังจากนั้น กู่กัวเฉิงและหลัวจุนฮวาต่างคนต่างก็ช่วยกันเร่งมือยกใหญ่ จัดเตรียมสัมภาระข้าวของให้กับกู่หวานหวานสำหรับเดินทางไปชนบท
ในหัวของกู่กัวเฉิงคิดเพียงแค่ว่า ตนจะต้องรีบส่งตัวกู่หวานหวานออกไปให้พ้นจากที่นี่โดยเร็วที่สุด ทั้งนี้เพื่อตัวลูกสาวของเองก็จริง แต่อีกด้านก็เพื่อความปลอดภัยของตัวเขาเองเช่นกัน
ตรงข้ามกับหลัวจุนฮวา นับตั้งแต่ที่รู้ว่าต้องพรากจากลูกสาวของตน ก็ถึงกับกินไม่ได้นอนไม่หลับ แม้ว่าจะเป็นช่วงเวลาเพียงสั้นๆก็ตามที ทว่าช่างยากนักหากต้องทำใจ ตลอดหลายปีที่ผ่านมา เธอเลี้ยงดูอุ้มชูลูกสาวคนนี้มาอย่างดี อีกฝ่ายเปรียบดั่งเม็ดมณีชิ้นงามล้ำค่าในอ้อมอกของตน วันหนึ่งถึงคราวต้องร่ำลา มีเหตุต้องส่งลูกในไส้ออกเดินทางไปยังดินแดนที่ไกลแสนไกล มิหนำซ้ำยังเป็นบ้านนอกคอกนาที่มีแต่พวกคนจนยากไร้อีกด้วย แล้วคนเป็นแม่ที่ไหนบ้างจะไม่รู้สึกเหมือนใจสลายเล่า?
“เอาเสื้อคลุมขนสัตว์ไปเพิ่มอีกตัวเถอะ ได้ยินว่าหน้าหนาวทางเหนือมันหนาวมาก ไหนจะยังพายุ-่าฝนลูกเห็บอีก แค่คิดแม่ก็ขนลุกขนพองแล้ว”
หลังจากพูดจบ หลัวจุนฮวาก็รีบวิ่งไปที่ตู้เสื้อผ้า แล้วหยิบเอาเสื้อคลุมขนสัตว์อีกตัวยัดใส่เข้าไปในกระเป๋าเดินทางใบโตของกู่หวานหวาน
สภาพกระเป๋าเดินทางของเธอในตอนนี้บวมเป่งใกล้ระเบิดเต็มทีแล้ว กู่กัวเฉิงที่กำลังจัดข้าวของอยู่ข้างกันถึงกับมุ่นคิ้วขมวดอย่างไม่สบอารมณ์ยิ่งนัก
“ลูกสาวแค่ไปชนบทไม่กี่วัน ไม่ได้ไปเที่ยวพักร้อนต่างแดนซะหน่อย! สักแต่จะหยิบโน่นหยิบนี่ยัดใส่ท่าเดียว คิดบ้างมั้ยว่าลูกจะแบกกระเป๋าไปได้ยังไง?”
เมื่อหลัวจุนฮวาถูกผู้เป็นสามีตำหนิบ่น เธอก็สวนตอบด้วยคำบ่นชุดใหญ่ทันที
“แล้วที่ลูกสาวต้องทนทุกข์ทรมานอยู่แบบนี้ ทั้งหมดเป็นเพราะใครกันล่ะ?! กับแค่ยัดเสื้อผ้าเพิ่มเข้าไปไม่กี่ตัว จะจู้จี้จุกจิกอะไรกันหนักกันหนา? ถ้าไม่คิดจะช่วยก็อย่าบ่น! คุณนี่ก็นะ! จิตใจทำด้วยอะไรถึงกล้าส่งลูกสาวตัวเองไปลงหลุมไฟแบบนั้น!”
เห็นอีกฝ่ายกำลังหาเรื่องเพื่อเตรียมเปิดฉากทะเลาะกับเขาอีกครั้ง กู่กัวเฉิงก็ได้แต่ถอนหายใจครั้งแล้วเล่าอย่างช่วยไม่ได้ รู้สึกเหนื่อยหน่ายไม่อยากเสียเวลากับผู้หญิงคนนี้อีกแล้ว
เขามองข้ามไม่สนใจฟังเสียงอีกฝ่าย หันไปทำโน่นทำนี่ให้เสร็จโดยเร็ว หวังเพียงต้องการเร่งส่งตัวกู่หวานหวานออกไปให้พ้นจากที่นี่โดยเร็วที่สุดเท่านั้น
ในช่วงบ่ายของวันที่สอง หลัวจุนฮวาและกู่กัวเฉิงต่างพร้อมใจยืนส่งกู่หวานหวานอยู่หน้าชานชะลาด้วยกัน
จวบจนกระทั่งถึงเวลาต้องขึ้นรถไฟ กู่หวานหวานก็ยังเอาแต่ร้องห่มร้องไห้ไม่หยุด
“พ่อคะ หนูต้องไปที่นั่นจริงๆเหรอ? ไม่มีที่อื่นที่ดีกว่านี้แล้วเหรอคะ? หนู…หนูไม่อยากไปเลย ฮึกๆ…”
กู่หวานหวานกุมมือผู้เป็นพ่อไว้แน่น แม้รู้ดีแก่ใจว่า นี่คือหนทางรอดที่ดีที่สุดแล้ว แต่ถึงคราวต้องไปจริงๆ เธอกลับไม่สามารถทำใจได้เช่นกัน
เธอยังคงเอ่ยปากอ้อนวอนทั้งน้ำตาต่อไป แต่ถึงอย่างนั้น กู่กัวเฉิงก็แกะมือลูกสาวออก สีหน้าแววตาปราศจากร่องรอยความห่วงใยใดๆ แต่ก็ยังทำเสียงให้ดูน่าสงสารว่า
“หวานหวาน อย่าโทษพ่อกับแม่เลยนะ ชีวิตคนเราต้องเดินไปข้างหน้า อยู่ตรงนั้นถ้ามีอะไรไม่สบายใจก็เขียนจดหมายมาหาได้ พ่อกับแม่จะรีบตอบกลับไปทันที พ่อขอโทษด้วยนะลูกที่ต้องทำแบบนี้”
เห็นแววตาคนเป็นพ่อมั่นคงแน่วแน่เพียงนี้ กู่หวานหวานก็ตระหนักได้ในทันที ต่อให้พูดจาโน้มน้าวต่อไปก็คงเปล่าประโยชน์ ด้วยเหตุนี้ เธอจึงต้องเดินคอตกลากกระเป๋าใบโตขึ้นรถไฟไปอย่างสิ้นหวัง
ขั้นตอนการเดินทางทั้งหมดที่กู่หวานหวานต้องประสบพบเจอ ก็เหมือนกับที่ซูหนี่ต้องเผชิญทุกประการ ต้องนั่งทั้งรถไฟทั้งรถโดยสาร ไหนจะต้องต่อรถสองแถวไปจนตัวแทบเปื่อย รวมทั้งหมดก็ห้าวันเต็มๆ ในที่สุดเธอก็มาถึงหมู่บ้านตงเผิง
“ยินดีต้อนรับเยาวชนผู้มีการศึกษาทุกท่านสู่หมู่บ้านตงเผิงของเรา ทางเรารู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้บัณฑิตผู้ทรงภูมิอย่างพวกท่านมาคอยเผยเผยแพร่องค์ความรู้สู่หมู่บ้านแห่งนี้ พวกเราเองก็จะพยายามอย่างเต็มที่เพื่อถ่ายทอดวิถีเกษตรกรคืนกลับไป ขอต้อนรับสู่หมู่บ้านตงเผิงของเราอีกครั้งค่ะ”
กระทั่งบทพูดประโยคต้อนรับของเธอคนนั้น ยังเหมือนกันทุกคำพูดกับเมื่อครั้งที่ซูหนี่ได้ฟังเมื่อมาถึงที่นี่ครั้งแรก
ใช่แล้ว เธอคนนั้นที่อยู่ต่อหน้ากู่หวานหวานในเวลานี้ก็คือคนเดียวกับที่ออกมาต้อนรับซูหนี่
สาวสวยคนนี้มีชื่อว่า ฉินเหยา เป็นสาวเหนือที่เกิดและเติบโตมาในหมู่บ้านตงเผิง
กู่หวานหวานกรอกตาชำเลืองพินิจมองฉินเหยาขึ้นลงอยู่หลายรอบ ก่อนจะหลุดหัวเราะเยาะใส่ด้วยความขบขัน เธอเบะปากคว่ำพร้อมสบประมาทขึ้นคำหนึ่งว่า
“นี่เธอพูดอะไรออกมา ถ่ายทอดวิถีเกษตรกรให้ฉันงั้นเหรอ? คนบ้านนอกไร้การศึกษาอย่างเธอ มีสิทธิ์อะไรมาชี้นิ้วสั่งสอนคนอื่น? แค่ต้องมาเหยียบที่นี่ ฉันก็ไม่มีความสุขมากพอแล้ว เอ๊า? ยังมัวยืนมองอะไรอยู่อีก? รีบๆพาฉันไปบ้านพักซะทีสิ!”
จบประโยคนี้ กู่หวานหวานก็ถอนหายใจเฮือกใหญ่อย่างหัวเสียอีกครั้ง แล้วจึงพูดต่อว่า
“เฮ้อ~ สงสัยบ้านพักคงเป็นแค่กระท่อมไม้โทรมๆสินะ แต่ก็ว่าไม่ได้ หมู่บ้านของพวกเธอมันยากจนแร้นแค้นจะตายไป ลำพังก็อดยากปากแห้งไม่มีจะกินกันอยู่แล้ว แต่เอาเถอะ เอาเถอะ ฉันทนอยู่แค่ไม่กี่วันเท่านั้นล่ะ เดี๋ยวก็กลับแล้ว!”
ถูกกู่หวานหวานสวดใส่ร่ายยาวดูถูกเช่นนี้ ทำเอาฉินเหยาถึงกับตะลึงงันไปชั่วขณะ ภายในใจบังเกิดข้อสงสัยผุดขึ้นกลางคัน มีตระกูลร่ำรวยที่ไหนส่งลูกคุณหนูมาทดสอบบทเรียนชีวิตที่นี่รึเปล่า?
นิยายแนะนำ
นิยายแนะนำ
ความคิดเห็น
COMMENT
เว็บไซต์นี้ใช้คุกกี้
เว็บไซต์นี้ใช้คุกกี้ เพื่อสร้างประสบการณ์นำเสนอคอนเทนต์ที่ดีให้กับท่าน รวมถึงเพื่อจัดการข้อมูลส่วนบุคคลเพื่อให้ท่านได้รับประสบการณ์ที่ดีบนบริการของเว็บไซต์เรา หากท่านใช้บริการเว็บไซต์นี้ต่อไปโดยไม่มีการปรับตั้งค่าใดๆ นั่นเป็นการแสดงว่าท่านอนุญาตยินยอมที่จะรับคุกกี้บนเว็บไซต์และนโยบายสิทธิส่วนบุคคลของเรา
userA???
???? ??? ? ???? ?? ??