เรื่อง ราชันเวทเทพองเมียว
โชโโบ เงูเฒ่าพาอาเบะ โนะ เซเมย์มุ่งหน้าไปทางนครเฮอัน
หนี?
หากหลบหนีควรมุ่งไปทางทิศเหนือ ตรงเข้าป่าลึก อยู่ให้ห่างจากผู้คนคือการหนีที่ดีที่สุด ดังนั้นนี่ไม่ใช่การหนีแน่นอน แต่เพื่อการใดนั้นขณะนี้ยังไม่อาจคาดเดา
เป็นที่น่าสังเกตว่า เฮอันยามนี้แม้ไม่มีระดับปรมาจารย์อย่าง คาโมะ โนะ ทาดายูกิ แต่ก็มียอดฝีมือรวมตัวอยู่อย่างคับคั่ง ต่อให้เซเมย์เก่งกาจเพียงใด หากไม่อาจประคองระดับเทพเทวาได้ล่ะก็ ขอเพียงร่วมมือกันการสังหารจอมมาร อาเบะ โนะ เซเมย์ก็ไม่ใช่เรื่องยาก
คนเหล่านี้ ได้แก่
คาโมะ โนะ ยาสึโนริ เจ้าสำนักองเมียวคนปัจจุบัน
สมณะจิโซ เจ้าอาวาสวัดไดโกจิ
สมณะอิชิกาว่า รองเจ้าอาวาสวัดไดโกจิ
สี่วัชระนิกายฉุเก็นโด แห่งภูเขาไดเซนจิ
ทาจิบานะ โนะ ชินเอมอน พระธุดงค์
นอกจากนี้ยังมีองเมียวจิหลวงที่กระจายอยู่ในเมือง กับองเมียวจิไร้สังกัดที่คุ้มครองตระกูลใหญ่อยู่อีก
ขึ้นชื่อว่าจิ้งจอก ธรรมชาติแฝงด้วยความเจ้าเล่ห์ เจ้าแผนการ ไม่มีทางพาตัวเข้าสู่กับดักได้ง่าย ๆ ต้องมีแผนการอะไรซ่อนอยู่แน่นอน
แผนนั้นคืออะไร?
ระหว่างการติดตาม ยิ่งทาดายูกิพยายามคิดว่าแผนของเซเมย์คืออะไร กลับไม่อาจคาดเดาความคิดของอดีตศิษย์ผู้นี้ได้เลย กลายเป็นว่าตนแทบไม่รู้จักศิษย์ผู้นี้
ด้วยคำขอร้องของอาเบะ โนะ ยาสึนะ บิดาของเซเมย์ เด็กชายอายุห้าขวบได้ก้าวเข้าสู่วิถีองเมียว หลังจากความก้าวหน้าอย่างผิดปกติ หลังตรวจสอบประวัติพบว่านี่คือครึ่งจิ้งจอก ปีศาจไม่สามารถเรียนวิชาองเมียวได้ แต่คนผู้นี้ยังมีอีกครึ่งที่เป็นมนุษย์
ขณะกำลังลังเลเรื่องคุณสมบัติ ยาสึโนริถ่ายทอดเสียงบอก ขอเป็นคนสอนแทนอาจารย์เอง ด้วยเหตุนี้เขาเลยรับเซเมย์เป็นลูกศิษย์คนที่สอง แม้ในใจลึก ๆ จะไม่เห็นด้วยก็ตาม เพื่อป้องกันปัญหาจึงผนึกครึ่งปีศาจเอาไว้
กาลเวลาผันผ่าน เด็กผู้นี้ค่อยเติบโตกล้าแข็ง ได้รับคำชื่นชมจากผู้คนโดยรอบมากมาย
บ้างบอกว่า นิสัยดีงาม รู้จักเข้าสังคม
บ้างบอกว่า กล้าหาญ มีคุณธรรม
บ้างบอกว่า ขยันขันแข็ง อ่อนน้อมถ่อมตน
บ้างบอกว่า เป็นอัจฉริยะในวิถีในรอบหนึ่งร้อยปี
รวมความแล้วศิษย์ผู้นี้เป็นเมล็ดพันธุ์ชั้นเยี่ยม น่าเสียดายที่เกิดผลเช่นนี้
ใครเล่าจะล่วงรู้อนาคต?
ทาดายูกิไพล่นึกถึงอนาคตของศิษย์คนใหม่
เสียดายเวลาไม่เป็นใจ หากมีเวลาอีกหกเดือนหนึ่งปี เด็กนั่นน่าจะฝ่าทะลุขั้นทารกไปสู่เขตขั้นต่อไป หากอยู่ขั้นนั้นก็ไม่ต้องห่วงเรื่องความปลอดภัย น่าเสียดาย... พอคิดมาถึงตอนนี้ทาดายูกิก็ไล่ตามทันพอดี กลับพบเพียงเงูเฒ่า
“โชโโบ ท่านไม่ควรยุ่งกับปลักน้ำนี้” เสียงแก่ชราทว่าเข้มแข็งดังขึ้น เหมือนว่าทาดายูกิฟื้นกำลังขึ้นมาได้ส่วนหนึ่ง
“คนเราอยู่ในโลกย่อมไม่เป็นตัวของตัวเอง ท่านผู้เฒ่าไม่ต้องเกรงใจ ร้อยกว่าปีมานี้ข้าฝีมือก้าวหน้าขึ้นบ้าง อาจชนะท่านไม่ได้แต่ถ่วงเวลาท่านได้แน่นอน”
“อย่าเพิ่งมั่นใจไป”
พอสิ้นคำนี้ทั้งสองก็เปิดศึกทันที
ศึกตัดสิน
ชายชรายืนอยู่บนหลังกระเรียน แม้แววอ่อนล้ายังคงอยู่ ทว่าภายนอกกลับเปลี่ยนเป็นสุขุมลุ่มลึก บุคลิกสูงส่งราวกับปราชญ์เมธี อาจเป็นเพราะรูปลักษณ์เปลี่ยนก็เป็นได้
แรกเริ่มทาดายูกิคิดจะใช้ธนูแสงจันทร์ แต่เขาไม่อยากสูญเสียพลังไปมากกว่านี้ ดูท่าคงต้องใช้สิ่งนั้น
เงูเฒ่าเพียงลอยนิ่งบนฟ้า ไม่เปิดการโมตีก่อน หน้าที่ของมันคือถ่วงเวลา การต่อสู้แบบยืนระยะจึงเป็นวิธีที่ดีที่สุด
เมื่อเห็นท่านผู้เฒ่าลดธนูในมือลง ในใจโชโโบเต็มไปด้วยความสงสัย ก่อนจะเปลี่ยนเป็นตกตะลึงแทบสิ้นสติ ไม่คิดว่าท่านจะใช้วิธีนี้
ทาดายูกิวางธนูในมือลง นึกได้ว่าตนไม่มีเวลาจะเสียอีกแล้ว วิธีที่ดีที่สุดคือขับไล่มันไปเหมือนคราวของเท็งโกะคุ พอคิดได้แบบนี้จึงเปลี่ยนเป็นอีกวิชาหนึ่ง น่าเสียดาย วิชานี้ได้ผลกับเซเมย์มากกว่า กับลูกน้องก็ได้เหมือนกันแค่ผลจะไม่รุนแรงเท่า
มือซ้ายล้วงหยิบของสิ่งหนึ่งออกมาจากอกเสื้อ
ขี้เถ้า!
นี่คือเถ้าอัฐิของ ‘อาชิยะ โดมัน’ อัดแน่นด้วยความเคียดแค้นและความไม่ยินยอมพร้อมใจ ติดตรึงจนวิญญาณไม่อาจสงบได้
ทาดายูกิโปรยเถ้าอัฐิขึ้นฟ้า แทนที่เถ้าอัฐิจะตกลงมากลับกลายสภาพเป็นมังกรดำร่างมหึมา โผล่ออกมาจากชั้นเมฆ ส่งเสียงคำรามกึกก้องสะท้านสะเทือน ชักนำอัสนีแปลบปลาบรอบกาย
ฉับพลันทันใดอัสนีสิบเจ็ดสายผ่าลงบนร่างมังกรดำ แทนที่มันจะเจ็บปวดกลับร้องคำรามด้วยความยินดี จากนั้นเกล็ดที่เคยเป็นดำสนิท กลับกลายเป็นสีนิลราวกับประกายแห่งรัตติกาล
จังหวะที่โชโโบไม่ทันตั้งตัว มังกรดำอ้าปากกว้างเผยฟันเขี้ยวแหลมคม ปลดปล่อยมังกรออกมาอีกตัวหนึ่ง ที่แท้มันดูดกลืนอัสนีฟ้าแล้วลอกคราบกลายเป็นมังกรอัสนี ไม่ว่าความแค้นก็ดี ความชังก็ช่าง ล้วนอัดแน่นอยู่ในร่างนี้
กรรรรรรรรร!
เสียงคำรามสะท้านสะเทือน หมู่เมฆเปล่งประกาย สายฟ้าแลบแปลบปลาบ
มังกรอัสนีราวกับมีชีวิต ดวงตาสีเงินของมันจับจ้องไปทางเงูเฒ่า แม้ตอนนี้จะบินห่างออกไปทางทิศตะวันตกจนเกือบถึงต้นแม่น้ำโออินอกเมืองเฮอันก็ตาม
ไม่ว่าจะรวดเร็วเพียงใดก็ไม่อาจหลบหนีได้ มังกรอัสนีไล่ติดตามไม่ลดละ
โชโโบอดีตเจ้าขุนเขา ใจอยากถ่วงเวลาเพียงใดก็ทำไม่ได้ ยามนี้มันต้องสนใจความเป็นความตายของตัวเองก่อน
เซเมย์ยืนนิ่งอยู่บนกำแพงเมืองด้านทิศเหนือ สายตาจับจ้องไปยังตัวเมืองเบื้องหน้า
กลิ่นคาวเลือดยังไม่จางหาย เพราะที่นี่เป็นแนวป้องกันแรกของเมืองหลวง ค่ายทหารที่อยู่นอกเมืองเต็มไปด้วยซากศพกองพะเนิน และตอนนี้เหตุการณ์นองเลือดกำลังจะเกิดซ้ำรอยเดิม
“หึ หึ อยากรู้นักว่าพวกเจ้าจะรับมือกันอย่างไร”
มือขวาทำท่ามุทรา มือซ้ายโบกไปมา
แรกเริ่มสายลมยังคงพัดเอื่อย แฝงด้วยน้ำค้างเย็นรื่นจากขุนเขา เพียงไม่กี่อึดใจสายลมค่อย ๆ เร็วขึ้น ๆ ท้ายที่สุดกลายเป็นพายุลูกใหญ่หมุนวนอยู่เหนือศีรษะ
เสื้อสีขาวปลิวไสว ใบหน้างดงามแฝงความอ่อนล้า ทว่าแววตาและริมฝีปากกลับเต็มไปด้วยรอยยิ้ม
มือขวาในท่ามุทราค่อยขยับไปข้างหน้า ผลักดันพลังเวทหนึ่งส่วนสุดท้ายของเขตขั้นเทพเทวา ให้หลอมรวมกับอาคม...
風雲(ฟูอิง)
ลมเมฆประสาน
เสียงลมพายุจากดังหวีดหวิว กลายเป็นเสียงคร่ำครวญของวิญญาณคับแค้น
ได้เวลาแล้ว เซเมย์ใช้มือซ้ายผลักเบา ๆ อ่อนโยนและนุ่มนวลเฉกเช่นยามสัมผัสใบหน้าคนรัก พายุที่ลอยอยู่เบื้องบนพลันทอดตัวลงมายังเบื้องล่าง ส่วนหางแตะผืนดิน ส่วนหัวแตะผืนฟ้า
พายุงวงช้างขนาดใหญ่ก่อตัวขึ้น!
ไม่
นี่คือพายุไต้ฝุ่นต่างหาก
มันเคลื่อนผ่านที่ใด ที่นั่นพินาศย่อยยับ
บ้านเรือนที่อยู่ตอนเหนือของพระราชวังถูกกวาดทำลาย หากเป็นเช่นนี้ต่อไปในไม่ช้าพายุจะเคลื่อนตัวลงใต้ ทำลายทุกสิ่งอย่างที่มันเคลื่อนผ่าน ผู้คนหลายแสนคนคงต้องทุกข์ทรมานอย่างแสนสาหัส มากกว่านั้นคือชีวิตดับดิ้น
เสียงลมพัดหวีดหวิวสะท้านสะเทือนไปทั้งนครเฮอัน
พลังอำนาจเสมือนสยบฟ้าพิชิตปฐพีเช่นนี้ ใครจะขวางได้?
ไม่ต้องให้ผู้ใดบอก สมณะทั้งหกลอยตัวขึ้นบนหลังคาพระตำหนักโวกันเด็น ใบหน้าเคร่งเครียด รอยหิวย่นกดลึก อีกไม่กี่อึดใจลมพายุจะมาถึง สรรพชีวิตใกล้ดับสลาย พระพุทธองค์ทรงเมตตา
อมิตตาภา!
สมณะทั้งหกกล่าวคำขึ้นพร้อมกัน
ยอดฝีมือทางพุทธเก่งเรื่องมนต์มายาและข่ายเวทผนึกเป็นที่สุด
พวกท่านไม่อาจทำลายพายุได้ แต่สามารถเปลี่ยนทิศทางของมันได้
เสียงสวดมนต์ดังก้องราวกับมาจากพุทธภูมิ บรรยากาศแห่งความสงบสันติแผ่กระจาย ผู้ใดได้ยินเสียงสวดมนต์ ต่างร่วมสวดด้วยความตั้งใจ เสียงดังกระหึ่มไปทั้งเมือง
ทันใดนั้นปรากฏอักขระสันสกฤตลอยอยู่บนท้องฟ้า ก่อนเคลื่อนเข้าไปโอบล้อมพายุเอาไว้ สมณะทั้งหกสวดมนต์อย่างตั้งใจ อาศัยพลังเวทแห่งตนและพลังศรัทธาหวังสร้างปาฏิหาริย์
แล้วปาฏิหาริย์ก็บังเกิด พายุที่กำลังมุ่งตรงมายังวังหลวงพลันลอยตัวขึ้นเหนือพื้น แล้วเปลี่ยนทิศทางเบนออกไปทางทิศตะวันตกอย่างน่าอัศจรรย์
ขณะพายุลูกใหญ่กำลังจะข้ามผ่านกำแพงเมือง มันพลันหยุดนิ่ง ทำท่าจะวนกลับเข้ามาในเมืองอีกครั้ง โชคดีทาดายูกิตามมาทัน
มือหนึ่งหยิบคันธนู มือหนึ่งคว้าสายลมเบื้องหน้าแล้วน้าวสาย
พึงงงงง!
เวลากระชั้นชิดไม่อาจใช้ธนูแสงจันทร์ จำต้อง
ลูกศรน้ำค้างสายลม
風露矢
เชื่องช้าทว่ารวดเร็ว
ช้ากลับเร็ว!!!
ตูมมมมม!
พายุถูกลูกศรกระแทกไปข้างหน้าข้ามผ่านกำแพงเมืองออกไป ขณะที่ทุกคนถอนหายใจอย่างโล่งอก พลันเกิดพลังไร้รูปลักษณ์ไร้ที่มาดึงให้พายุวกกลับเข้ามาในเมืองอีกครั้ง แต่คราวนี้ทิศทางของพายุเปลี่ยน มุ่งไปทางเขตคนสามัญ หากเป็นเช่นนี้ต่อไปมันย่อมกวาดทั้งเขตคนสามัญและเขตคนยากไร้เป็นแน่ ชาวบ้านเกือบครึ่งค่อนเมืองล้วนอาศัยในเขตนี้
อยู่ ๆ ท้องฟ้าพลันสว่างวาบ ฟ้าร้องดังครืนครัน ราวกับสวรรค์รับรู้ ผู้คนแทบทั้งเมืองต่างออกมายืนนอกบ้าน สายตามองไปยังทิศตะวันตก แม้ไม่อาจมองเห็นแต่คล้ายรู้สึกได้ เป็นความรู้สึกเหมือนกับบุตรที่จากไปนาน ก้าวเท้าเข้าบ้าน พบเจอรอยยิ้มของมารดาชรา
อบอุ่น เป็นสุข เปี่ยมด้วยความรักความเมตตา
ทันใดนั้นสิ่งอัศจรรย์บังเกิด
เสื้อผ้าเก่า
ชามบิ่น
เข็มเย็บผ้า
ที่เคยสำแดงเดชสังหารผีไร้หน้าพลันลอยออกมาจากห้องแถว หายลับไปกับท้องฟ้ายามค่ำคืน
มินะโมะโตะ โนะ ซาซาเอะ โชคดีได้เป็นพยานในภาพอันน่าอัศจรรย์นี้ และทำให้ได้รู้ว่าบ้านไหนที่ท่านปรมาจารย์ให้เธอช่วยเหลือ
พายุหมุนหยุดนิ่งอยู่กับที่คล้ายมันสัมผัสถึงภัยคุกคาม มันหมุนวนเร็วขึ้น เร่งความเร็วขึ้น ใหญ่ขึ้น ใหญ่ขึ้น จนกลายเป็นพายุหมุนไต้ฝุ่นขนาดยักษ์ เสียงหวีดหวิวของสายลมราวกับเสียงภูตผีครวญคร่ำ
สิ่งของสองอย่างลอยเข้าหาพายุลูกนี้
เสื้อเก่าแปลงเป็นวัตถุโปร่งใสขนาดมหึมา ห่อหุ้มพายุเอาไว้ กักกันไว้ภายใน ขณะที่เข็มเย็บผ้ากลับลอยขึ้นสูงเหนือตาของพายุ สูงขึ้นไปถึงชั้นเมฆเบื้องบน จากนั้นมันทิ้งตัวดิ่งลงนำพาหมู่เมฆและอสนีบาตลงมาด้วย
แล้วของอย่างที่สามล่ะ?
ใบหน้าของเซเมย์ดำคล้ำ มันไม่ยอมให้ถูกขัดขวางในช่วงหน้าสิ่วหน้าขวานเช่นนี้ ขณะกำลังจะเค้นพลังเฮือกสุดท้ายออกมา จู่ ๆ ชามบิ่นพลันปรากฏขึ้นตรงหน้า คราวนี้ไม่ได้กลายร่างเป็นจักรผัน คล้ายกับรับรู้ด้วยตัวเองว่าแค่จักรผันไม่สามารถสังหารคนผู้นี้ได้ ดังนั้นชามบิ่นได้แต่สละตัวเองเพื่อถ่วงเวลา
ชามทั้งใบพลันแตกสลายกลายเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย เศษกระเบื้องแตกโมตีเป็นวงกว้าง รุนแรงดั่ง-่าธนู รวดเร็วดุจกระสุน จู่โมเซเมย์โดยไม่ทันตั้งตัว
เป็นเวลาเดียวกับเข็มเย็บผ้าจู่โมตาพายุ
ยอดฝีมือที่เห็นเหตุการณ์ต่างก็คิดว่า คราวนี้ต้องมีเสียงกึกก้องกัมปนาทเกิดขึ้น แต่กลายเป็นว่ากลับเงียบสงบอย่างประหลาด หลังเข็มเย็บผ้าพาหมู่เมฆและอสนีบาตทะลวงตาพายุ อยู่ ๆ ลมก็พลันสลายเหมือนไม่เคยเกิดอะไรขึ้นมาก่อน สิ่งที่หลงเหลือมีเพียงเศษผ้ากระจายเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย ก่อนปลิวหายไปพร้อมกับสายลม
เซเมย์ยืนนิ่งอยู่บนกำแพง เข่นเขี้ยวด้วยความเสียดาย เข้าใจว่านี่คือไม้ตายที่อาจารย์ตนลอบวางเอาไว้
ระหว่างกำลังพร่ำบ่นในใจอยู่นั่นเอง ยอดฝีมือพลันรายล้อม
ยังไม่ทันที่การต่อสู้จะเริ่มขึ้น
อาเบะ โนะ เซเมย์ รีบเอ่ยคำด้วยสีหน้าเรียบเฉย
“พวกเรามาเจรจากันเถอะ”
-จบภาคแรก-
นิยายแนะนำ
นิยายแนะนำ
ความคิดเห็น
COMMENT
เว็บไซต์นี้ใช้คุกกี้
เว็บไซต์นี้ใช้คุกกี้ เพื่อสร้างประสบการณ์นำเสนอคอนเทนต์ที่ดีให้กับท่าน รวมถึงเพื่อจัดการข้อมูลส่วนบุคคลเพื่อให้ท่านได้รับประสบการณ์ที่ดีบนบริการของเว็บไซต์เรา หากท่านใช้บริการเว็บไซต์นี้ต่อไปโดยไม่มีการปรับตั้งค่าใดๆ นั่นเป็นการแสดงว่าท่านอนุญาตยินยอมที่จะรับคุกกี้บนเว็บไซต์และนโยบายสิทธิส่วนบุคคลของเรา
userA???
???? ??? ? ???? ?? ??