เรื่อง แรกแย้มวังบุปผา (NC)

ติดตาม
เล่มที่ 2 บทที่ 39 หลบหนีจากที่แห่งนี้
เล่มที่ 2 บทที่ 39 หลบหนีจากที่แห่งนี้
  • ปรับสีและขนาดตัวอักษร

        ทว่านางก็รู้ดีว่ายามที่ตำหนักองค์หญิงถูกสร้างขึ้นครั้งแรก กำแพงสูงสองจั้งถูกสร้างขึ้นเพื่อป้องกันไม่ให้โจรขโมยบุกรุกเข้ามา ไม่มีบันไดไม้ไผ่หรือเชือกให้ปีนป่าย ไม่มีผู้ใดสามารถข้ามกำแพงสูงนี้ได้เลย

        นางมองกำแพงสูงด้วยความท้อแท้ กลุ่มนางบำเรอก็เดินผ่านไป บางคนหัวเราะเยาะ บางคนจ้องมองด้วยสายตาอิจฉาริษยาและพูดจาเหน็บแนม

        “ท่านพี่อวี้ นางมองกำแพงทำไมกันนะ?”

        “อาจมีบางคนอยากเป็นดอกซิ่งแดงยื่นออกนอกกำแพง1น่ะสิช่างเป็นความคิดที่น่าตำหนิเสียจริง”

        “ยามยั่วยวนท่านอ๋อง ปีนขึ้นเตียงของท่านอ๋องได้ คงไม่เคยคิดมาก่อนว่ากำแพงจะสูงขนาดนี้สินะ

        “ปีนขึ้นเตียงไปแล้วเพิ่งมารู้สึกเสียใจ ไม่สายเกินไปหน่อยหรือ เกรงว่าจะย้อนเวลากลับไปไม่ได้แล้วล่ะ”

        ฉีซีรู้สึกอับอายและโกรธมากเสียจนน้ำตาแทบไหลออกมา หากหยวนฉีไม่ล่มสลาย นางก็คงไม่ต้องเผชิญกับความอัปยศเช่นนี้

        ตอนนี้นางสร้างปัญหาไม่ได้แล้ว ทำได้เพียงทำตัวสงบเสงี่ยมเพื่อหาโอกาสหลบหนีจากจวนซีอ๋อง หลังจากได้ยินคำถากถางเหล่านี้ นางทำได้เพียงอดกลั้นความคับข้องใจและความอยากก่นด่านางบำเรอต่ำต้อยเหล่านี้ หันหลังแล้ววิ่งไปที่สวนหลังตำหนักองค์หญิง

        ฉีซียืนอยู่ในสวน เดิมทีการสร้างตำหนักองค์หญิงที่นี่เพราะเห็นความงดงามของป่าดอกอิงภูเขาและดอกซิ่งที่ไม่รู้ว่าผู้ใดมาปลูกไว้ ในทุกปีเมื่อถึงฤดูดอกไม้บาน ดอกไม้จะบานสะพรั่งอย่างเต็มที่ กลีบดอกสีชมพูอ่อนงดงามยิ่ง แม้กำแพงสีชาดสูงสองจั้งก็ไม่อาจกั้นขวางกิ่งก้านของดอกอิงภูเขาไม่ให้ยื่นออกไปนอกกำแพงได้

        ปัจจุบันดอกซิ่งและดอกอิงภูเขาล้วนโรยราหมดสิ้น เหลือเพียงกิ่งก้านที่ร่มรื่นหนาแน่นดั่งเมฆหมอก แสงแดดส่องลอดผ่านกิ่งก้านลงมาบนพื้นดินเปียกชื้น เกิดเป็นประกายทองระยิบระยับ

        บนทางเดินหอมกรุ่นเต็มไปด้วยกลีบดอกไม้ร่วงโรยที่ยังไม่ได้กวาด นางก้าวไปอย่างเงียบเชียบ อารมณ์อันหนักอึ้งล้วนถูกกลีบดอกไม้ร่วงกลืนกิน เหลือเพียงรอยชื้นเข้มบนเส้นทางดอกไม้

        ใจกลางป่าดอกอิงภูเขามีพื้นที่เว้า โดยมีแท่นสูงที่ทำจากไม้สนตั้งอยู่ บนแท่นนั้นมีชิงช้าที่นางสั่งให้ข้ารับใช้สร้างขึ้นเมื่อสองปีก่อน

        นางหวนนึกถึงอดีตว่านางมักนั่งชิงช้าในสวนท่ามกลางดอกอิงภูเขาที่บานสะพรั่ง และปล่อยให้เหล่านางกำนัลผลักชิงช้าให้ ยิ่งแกว่งสูงเท่าไหร่ หัวใจของนางก็ยิ่งพุ่งสูงขึ้นไปด้วย ในยามนั้น นางเงยหน้ามองท้องฟ้าสีฟ้าอ่อน หมู่เมฆที่ล่องลอย และจิตใจของนางรู้สึกปลอดโปร่งราวกับผืนฟ้าอันกว้างใหญ่

        ตอนนี้ชิงช้ายังคงอยู่ ทว่าทุกอย่างกลับเปลี่ยนไป

        ชีวิตของนางพลิกผัน ทุกสิ่งที่รักถูกพรากไป แม้แต่ความสุขเพียงหนึ่งเดียวที่นางโหยหาก็ยังถูกโม่ซีพรากไปจนหมดสิ้น

        บนกระดานชิงช้าถูกกลีบดอกอิงปกคลุม เห็นได้ชัดว่าไม่มีใครมาเยือนที่นี่เป็นเวลานาน

        ฉีซีค่อยๆ ปัดกลีบดอกอิงออก  โดยปกติแล้วนางจะแกว่งชิงช้าหันหน้าไปทางป่าดอกอิง ทว่าวันนี้นางกลับไม่อยากให้ใครเห็นความเศร้าโศกและความเปราะบางของนาง นางจึงแกว่งชิงช้าหันหน้าเข้ากำแพงพระราชวัง

        กำแพงพระราชวังมีสีแดงราวกับเลือด และกระเบื้องเคลือบสีเหลืองสดใสเปล่งประกายทองอร่ามยามต้องแสงอาทิตย์ ขณะแกว่งชิงช้าไปมา อาภรณ์ก็ปลิวตามและเกิดเสียงดังขึ้น ฉีซีจึงสามารถสลัดความรู้สึกหนักอึ้งบางส่วนออกไปได้ และรู้สึกถึงความเป็นอิสระ

        อย่างไรก็ตาม ยิ่งแกว่งสูงขึ้นเท่าไทร่ นางก็ยิ่งรู้สึกเศร้ามากขึ้นเท่านั้น

        โม่ซีขังนางไว้ในตำหนักองค์หญิง ไม่สิ ขังไว้ในกำแพงสูงตระหง่านที่นางสร้างขึ้นด้วยมือของตน และถูกขังอยู่ในกรงทองที่ยากจะทำลาย

        แม้จะผ่านไปไม่ถึงสามวัน ไม่ว่าจะเป็นการข่มเหงรังแกของโม่ซี หรือตำหนักแห่งนี้ที่เคยเป็นของนางแห่งนี้ได้กลายเป็นกรงขังที่สมบูรณ์แบบ นางก็ทนไม่ไหวอีกต่อไป

        น้ำตาของนางไหลรินออกมา ร่วงหล่นเป็นสายตามแรงเหวี่ยงของชิงช้า กระเซ็นกระจายไปทุกทิศทุกทาง ไม่รู้ว่าจะไปสิ้นสุดที่ใด

        ราวกับการระบายอารมณ์ นางแกว่งสูงขึ้นเรื่อยๆ ดวงตาพร่ามัว ภาพเดี๋ยวสว่างเดี๋ยวมืดปรากฏขึ้นสลับกัน

        นางเช็ดน้ำตาและพบว่ากระเบื้องหลังคาสีดำของบ้านประชาชนนอกกำแพงวังอยู่ใกล้แค่เอื้อม ทุกครั้งที่แกว่งขึ้นไปในอากาศ ทุกครั้งที่แกว่งไปยังจุดสูงสุดแล้วแกว่งกลับอีกครั้ง แผ่นกระเบื้องสีดำจะปรากฏขึ้นชั่วครู่หนึ่งแล้วหายไป

        ชิงช้าของฉีซีแกว่งช้าลง นางรู้สึกประหลาดใจปนความไม่แน่ใจ จึงก้าวขึ้นไปบนแผ่นเหยียบชิงช้า งอเข่าเล็กน้อย เริ่มแกว่งชิงช้าให้แรงขึ้น

        ชิงช้าแกว่งเป็นวงกว้างขึ้นตามจังหวะการแกว่งของนาง ยิ่งแกว่งสูงขึ้น กระเบื้องหลังคาสีดำก็ยิ่งปรากฏชัดเจนมากขึ้น

        ฉีซีไม่คาดคิดว่าตอนแรกนางเพียงต้องการดูดอกตูมบนยอดต้นอิงภูเขาและต้นซิ่ง นางจึงพยายามอย่างหนักเพื่อเหวี่ยงชิงช้าให้สูงขึ้น ทว่ากลับทำให้นางเจอโอกาสหลบหนีจากจวนซีอ๋อง

        หัวใจของนางเต้นรัว ใบหน้าแดงก่ำด้วยความตื่นเต้น และกำลังคิดถึงความเป็นไปได้ที่จะแกว่งชิงช้าให้สูงขึ้นจนถึงกำแพง จากนั้นเกาะกิ่งก้านของต้นอิงภูเขาที่ยื่นออกมาแล้วกระโดดลงไปอีกฝั่ง

        ในอดีตเมื่อแกว่งไปถึงจุดสูงสุด นางจะปล่อยมือโยนตัวลงบนผ้าไหมที่ข้ารับใช้กางไว้ กลิ้งไปมาด้วยเสียงหัวเราะที่สดใสดั่งดวงดาว งดงามดุจเทพธิดา

        ทว่าคราวนี้ไม่มีข้ารับใช้รอรับอยู่ข้างล่าง นางต้องลองด้วยตัวเอง คำนวณระยะทางให้แม่นยำ

        นางเริ่มแกว่งชิงช้าเบาๆ เพื่อดูว่านางสามารถกระโดดข้ามไปได้ไกลแค่ไหน

        จนกระทั่งนางเริ่มชำนาญ จึงเริ่มแกว่งชิงช้าแรงขึ้น ทว่าในรอบที่เจ็ดนางคำนวณระยะทางผิดพลาดจึงกลิ้งลงจากชิงช้า ล้มลงบนพื้นดินที่เต็มไปด้วยกลีบดอกไม้ที่ร่วงโรย นางเจ็บปวดจนไม่สามารถขยับนิ้วได้สักพัก

        นางนอนบนขั้นบันได มองท้องฟ้าที่ปกคลุมไปด้วยใบไม้หนาทึบของป่าอิง และร้องไห้ออกมา ไม่ใช่เพียงเพราะความเจ็บปวดจากการล้ม ทว่ายังมาจากความรู้สึกสิ้นหวังที่ควบคุมอะไรไม่ได้

        เมื่อท้องฟ้ายามเย็นคืบคลานเข้ามา นางจึงลุกขึ้นยืนอย่างยากลำบากและปีนขึ้นไปบนแท่นสูงอีกครั้ง

        เมื่อเผชิญหน้ากับขั้นบันไดสูงชัน นางจึงรู้สึกหวาดกลัว

        นางรู้ว่าหากกระโดดไม่ไกลพอ นางจะตกลงมาบนขั้นบันไดและอาจได้รับบาดเจ็บสาหัส ต่างจากครั้งก่อนที่นางโชคดีแค่ลื่นไถลและกลิ้งลงมาเท่านั้น

        แม้ว่านางจะสามารถขึ้นไปบนกำแพงพระราชวังได้จริง ทว่านางยังต้องคว้ากระเบื้องเคลือบสีเหลืองสดใสให้ได้

        ไม่เช่นนั้น การตกลงมาจากกำแพงวังสูงสองจั้งจะทำให้นางได้รับบาดเจ็บสาหัส

        ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าหากพุ่งชนกำแพงวังที่ก่อด้วยอิฐด้วยความเร็วสูงถึงเพียงนั้นแล้วตกลงมาบนพื้น หากไม่ตายก็คงบาดเจ็บสาหัส

        นางมีโอกาสเพียงครั้งเดียวเท่านั้น

        ล้มเหลวไม่ได้เด็ดขาด

        ฝ่ามือของนางมีเหงื่อซึมออกมาเล็กน้อย รอยแผลถลอกจากการล้มตรงบันไดเมื่อครู่เริ่มมีเลือดซึมออกมา แผลจากการถูกตีด้วยแส้ก็ยังคงเจ็บแสบราวกับเข็มทิ่มแทง ไม่เพียงเท่านั้น นางยังรู้สึกเจ็บปวดที่แขน ขา และแผ่นหลังอีกด้วย

        นางเช็ดฝุ่นและเหงื่อออกจากฝ่ามือ ขมวดคิ้ว กัดริมฝีปาก รวบรวมความกล้าขึ้นไปยืนบนชิงช้าอีกครั้งแล้วเริ่มแกว่ง

        เมื่อเห็นว่าท้องฟ้าที่อยู่ไกลออกไป ระบายด้วยสีเหลืองอ่อนอมชมพูและส้ม เมฆขาวค่อยๆ ก่อตัวขึ้น ปกคลุมท้องฟ้าไปด้วยชั้นสีเทาอมน้ำเงิน

        ฉีซีรู้ดีว่าเกือบถึงยามเซิน2แล้ว

        ไม่รู้ว่าโม่ซีจะกลับจวนเมื่อใด นางจึงต้องรีบเอาชนะความกลัวในใจ

        ช่วงเวลาดีที่สุดในการหลบหนีจากจวนซีอ๋อง คือช่วงพลบค่ำขณะที่ตะเกียงยังไม่ถูกจุดและจะไม่สามารถแยกแยะผู้คนได้ จึงจะมีโอกาสหนีไปได้ไกลมากขึ้น

        หลบหนีจากที่นี่ ไปยังเขตเก้าทางใต้! ไปตามหาเฝิงซื่อหลาง!

        ฉีซีกัดฟันแน่น แกว่งให้สูงขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งวงสวิงชิงช้ามีขนาดประมาณครึ่งวงกลม──

        -----------------------------------------------------

        [1] ดอกซิ่งแดงยื่นออกนอกกำแพง หมายความว่า คบชู้

        [2] ยามเซิน เวลา 15.00 น. - 17.00 น.

 

ตอนต่อไป
เล่มที่ 2 บทที่ 40 นางอยู่ที่ใด

นิยายแนะนำ

นิยายแนะนำ

ความคิดเห็น

COMMENT

ปักหมุด

© สงวนลิขสิทธิ์ 2017 Glory Forever Public Company Limited( Kawebook.com )

Glory Forever Public Company Limited ( Kawebook.com )
ที่อยู่ : 20 หมู่ที่ 6 ตำบลพันท้ายนรสิงห์ อำเภอเมืองสมุทรสาคร จังหวัดสมุทรสาคร 74000
เวลาทำการ : 08 : 00 - 18 : 00 จันทร์ - เสาร์
e-mail : contact@kawebook.com

DMCA.com Protection Status

เริ่มต้นเผยแพร่ผลงาน

เริ่มต้นเป็นนักเขียนออนไลน์ เขียนเรื่องราวที่ประทับใจ สร้างเนื้อหาที่เป็นประโยชน์ และแบ่งปันประสบการ์ดีๆ กับผู้คนทั่วโลก kawebook.com เป็นโอกาส เป็นสื่อกลาง และยังเป็นอีกหนึ่งช่องทาง ในการสร้างรายได้ให้กับนักเขียนมืออาชีพ และนักเขียนมือสมัครเล่นจากทุกมุมโลก เพียงสมัครเป็นสมาชิกเว็บไซต์เพื่อเขียนหนังสือ การ์ตูน หรืออัพโหลดอนิเมชั่น ที่เป็นผลงานของท่าน และเผยแพร่ผลงานสู่สาธารณชน

© สงวนลิขสิทธิ์ 2017 Glory Forever Public Company Limited ( Kawebook.com )

© สงวนลิขสิทธิ์ 2017 Glory Forever Public Company Limited ( Kawebook.com )

เว็บไซต์นี้ใช้คุกกี้

เว็บไซต์นี้ใช้คุกกี้ เพื่อสร้างประสบการณ์นำเสนอคอนเทนต์ที่ดีให้กับท่าน รวมถึงเพื่อจัดการข้อมูลส่วนบุคคลเพื่อให้ท่านได้รับประสบการณ์ที่ดีบนบริการของเว็บไซต์เรา หากท่านใช้บริการเว็บไซต์นี้ต่อไปโดยไม่มีการปรับตั้งค่าใดๆ นั่นเป็นการแสดงว่าท่านอนุญาตยินยอมที่จะรับคุกกี้บนเว็บไซต์และนโยบายสิทธิส่วนบุคคลของเรา