เรื่อง เปี่ยมรัก [Love The Most]
เปี่ยมรัก (Love The Most) EP.6 – ห้วงนิมิตร
นรเดชยังคงไม่เข้าใจเรื่องที่พบเจอ ก่อนหน้านี้เพียงไม่นานเขายังมีชีวิตอยู่ในร่างของผู้หญิงชื่อชบา แค่พริบตาเดียวที่เด็กชายนรเดชถูกลูกฟุตบอลกระแทกจากวงสวิงของเต็มเปี่ยมจนสลบ นายนรเดชอายุ 42 ปีก็มาอยู่ที่นี่เสียแล้ว
“ยมรัก” เสียงแหลมของเด็กที่นมยังไม่แตกพานโพล่งต่อหน้าทุกคน แววตาจับไปที่เต็มเปี่ยมเพื่อมองหาร่องรอยของคุณยมทูต
“กู...เอ่อ เราเหรอ” พอเห็นว่าในวงมีครูสมพงษ์ที่กำลังสอนอยู่ด้วย เต็มเปี่ยมเลยต้องพูดสุภาพ พอนึกแล้วก็ตลก เนื่องจากเด็กวัยนี้จะกลัวและเชื่อฟังครูมากกว่าพ่อแม่เสียอีก พอขึ้นระดับมัธยม เราไม่กลัวใครเลย แถมยังไม่เชื่อฟังอีกต่างหาก
“ใครคือยมรัก” เพื่อนอีกคนถาม เด็กวัยนี้ช่างอยากรู้อยากเห็นไปเสียหมด ไม่เว้นแม้กระทั่งเต็มเปี่ยมวัยเด็กที่มองด้วยความฉงน
“ไม่มีอะไรหรอก” เมื่อประคบตรงจุดที่โน ความเจ็บก็เต้นตุบๆทั้งที่เมื่อครู่ไม่รู้สึกอะไร
“อะๆ แยกย้ายนะทุกคน นายเต็มเปี่ยม อย่าลืมขอโทษเพื่อนด้วยล่ะ” ครูสมพงษ์สั่งให้สลายวง เด็กๆต่างก็เดินไปหยิบเสื้อนักเรียนสีขาวที่วางกองไว้ที่พื้นหญ้าของสนามฟุตบอลของโรงเรียน บ้างก็แขวนแกร่วไว้ที่โกลฟุตบอล นรเดชอาศัยช่วงเวลานี้รื้อฟื้นความจำ
พุทธศักราช 2536 ตอนนั้นพวกเขายังอายุ 12 ปี(บางคนก็เพิ่งจะ 11 ปี) ยังเป็นเด็กนักเรียนชั้นประถมศึกษา เป็นช่วงเวลาที่ชายหนุ่มอยากจะระลึกถึง แต่ความทรงจำมันเลือนลางเหลือเกิน ทุกเวลาที่โตเป็นผู้ใหญ่ เราต่างก็ละทิ้งเศษเสี้ยวความทรงจำที่แสนไกลเพื่อให้มีชีวิตรอดกับเรื่องราวที่พบเจอในปัจจุบัน
“ขอโทษนะนอ” เสียงของเด็กชายเต็มเปี่ยมกระชากให้สติกลับมา ใบหน้าที่มอมแมมดูไร้เดียงสานั้นชวนขันมากกว่าจะมองว่าเป็นใบหน้าที่หล่อเหลา นรเดชเพิ่งจะนึกออกนี่เองว่าเต็มเปี่ยมมีหน้าตาอย่างไรตอนอายุ 11 ปีจากการมาเห็นด้วยสองตาตัวเองอีกครั้ง “เจ็บมั้ย”
“ไม่แล้ว” นรเดชตอบกลับ นึกย้อนถึงตอนนั้น มันเป็นเวลาในวิชา สปช. หรือไม่ก็ กพอ. หรืออะไรสักอย่างในวันธรรมดาวันหนึ่ง วันนั้นครูสมพงษสอนเด็กผู้ชายให้เตะบอล และเด็กผู้หญิงนั้นเรียนวอลเลย์บอล ซึ่งตัวเขาเองเกลียดลูกฟุตบอลเป็นที่สุด เวลาเตะแล้ววืดหรือเตะแล้วบอลไม่ไปตามทางที่ควรก็จะถูกเพื่อนๆหัวเราะเยาะหยัน ยิ่งตอกย้ำให้ยิ่งเกลียดกีฬาชนิดนี้มากไปอีก แต่ผิดกับเต็มเปี่ยมที่มีพรสวรรค์ในกีฬาชนิดนี้อยู่มาก พอได้เรียนฟุตบอล ชีวิตของพวกเขาก็คล้ายกับพบทางแยก นรเดชเลือกที่จะหันหลังให้และไปร่วมทีมวอลเลย์บอลที่ดูน่าจะเข้าทางมากกว่า มันเลยทำให้ความสนิทของเขาและเต็มเปี่ยมลดลงไปเรื่อยๆ
...หรือนี่จะเป็นโอกาสแก้ตัว? ถ้าเป็นอย่างนั้นก็ไม่ควรให้โอกาสดีๆหลุดลอยไปอีก เขาต้องช่วยเต็มเปี่ยม ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไรก็ตาม เขาต้องทำ ตอนนี้วิญญาณติดอยู่ในร่างตัวเองตอนเด็กเลยไม่รู้ว่าจะต้องช่วยยังไง ทางออกที่ง่ายที่สุดคือ ต้องหาเรื่องตีสนิท สิ่งที่เขาพลาดไปเมื่อชาติก่อน (ถ้ามันเรียกว่าชาติก่อนได้อะนะ) คือ พวกเขาไม่ได้สนิทกัน
“มึงสอนกูเตะบอลได้มั้ย” เมื่อครูไม่อยู่แล้ว เด็กๆก็จะพูดจาตามภาษาพ่อขุนเป็นปกติ วิธีตีสนิทอันดับแรก เรียนเตะฟุตบอล
“มึงเนี่ยนะอยากเตะบอล” เต็มเปี่ยมเหมือนจะรู้ว่าเพื่อนไม่ได้ชอบกีฬาชนิดนี้ แถมท่าทางตุ้งติ้งนั่นอีก นรเดชกลอกตา เขาก็ไม่อยากเชื่อตัวเองเหมือนกันว่าจะขอร้องอีกฝ่ายให้ทำอะไรแบบนี้
“มึงไม่เชื่อกูเหรอ” ... มึงคิดถูกแล้ว กูเกลียดฟุตบอล เกลียดมาก เกลียดตั้งแต่อายุ 11 จนถึง 42 ปี
“ก็เห็นชอบไปเล่นวอลเลย์กับพวกผู้หญิง” พูดอีกก็ถูกอีก...
“แล้วมึงจะสอนหรือไม่สอน หัวกูโนขนาดนี้เพราะมึงเลยนะ” เขาแกล้งเอามือลูบๆตรงส่วนที่ปูดออกมา
“เออ สอน” ไม่เห็นยากนี่หว่า...
“ดี” เด็กชายนรเดชยิ้ม ใช้ความผิดของคนอื่นเพื่อหาประโยชน์เข้าตัวเองเป็นงานที่ง่ายเสียจริง
“ว่าแต่ เมื่อกี้มึงเรียกกูว่าอะไรนะ”
“อะไรนะ เอ่อ...” นรเดชคิด
“ยมๆอะไรนี่แหละ”
“มึงชื่อยมเหรอ”
“พ่อง” จริงๆมันด่าว่า พ่อ มึง สิ แต่ขอเซ็นเซอร์นิดนึง
“ยม”
“สัด” จริงๆมันระบุชนิดด้วยแหละ แต่ขอแก้เป็นแค่นี้พอ
“มึงไม่คุ้นชื่อยมเหรอ เหมาะกับมึงดีนะ”
“ไอ้ควาย” นั่นไง มาอีกชนิดนึงละ “เดี๋ยวกูก็ไม่สอนเล่นบอลซะหรอก”
“เออ ไม่ล้อก็ได้ มึงมาสอนกูเลย” นรเดชปล่อยการกระทำให้ไหลไป ภาพในวันวานย้อนกลับมาราวกับน้ำไหลลงแม่น้ำ ในตอนเด็ก นรเดชค่อนข้างขี้อาย ไม่สู้คน เพื่อนๆเลยชอบล้อว่า นอกะเทย เขาทำได้แค่ร้องไห้ ฟ้องครู หรือก็ด่ากลับแบบหยาบคาย แต่ไม่เคยมีสักครั้งที่เขาจะแสดงออกว่าตัวเองไม่ได้เป็นแบบที่คนอื่นล้อ การเป็นกะเทยไม่ใช่เรื่องผิด แต่มันเป็นเรื่องแปลกในยุคนี้ เขาชอบของสวยๆงามๆมากกว่าจะชอบเล่นปืน หุ่นยนต์ รถถัง ยิ่งเป็นเรื่องกีฬาไม่ต้องพูดถึง เมื่อครั้งอยู่ชั้นประถม 1 หรือ 2 จะรู้สึกกลัวที่ต้องเดินผ่านสนามฟุตบอลที่มีพวกรุ่นพี่เล่นกันอย่างสนุกสนาน ... เขากลัวลูกฟุตบอลจะกลิ้งมาทางนี้ กลัวว่าจะเตะไม่โดนถ้าหากมันกลิ้งมาจริงๆ กลัวว่าจะต้องหยิบแล้วโยนให้ แล้วคนก็จะเอามาล้อเลียนอีก... มันช่างเด็กเสียจริงๆ
“มา เริ่มยัง” แต่นรเดชคนใหม่ จะต้องเล่นฟุตบอลได้.... “พวกมึง มาช่วยกันสอน”
“สอนกูด้วย” นรเดชเพิ่งสังเกตว่าคนพูดคือ ไตร เพื่อนที่นั่งโต๊ะเรียนติดกับเขา ไตรก็มีท่าทางอ้อนแอ้นไม่สมชาย แต่ใครจะคิดว่ามันจะแต่งงานตอนอายุ 30 ปี
“เอาสิ เดี๋ยวกูช่วยสอน” ไอ้หนุ่ม หรือ อนันต์ เพื่อนร่วมชั้นที่ค่อนข้างสนิทกับเต็มเปี่ยมอาสา สองคนนี้สนิทกันที่สุดเพราะบ้านอยู่ใกล้กัน จึงเดินมาและเดินกลับบ้านทางเดียวกันทุกวัน นรเดชยังจำได้ ไอ้หนุ่มคนนี้แหละที่พูดจาค่อนแคะเขาในงานศพของเต็มเปี่ยม ตอนนั้นนรเดชโกรธแต่ก็ต้องเก็บงำเอาไว้และคิดแค่ว่าอนันต์คงจะเสียใจมากที่เพื่อนสนิทมาจากไปตั้งแต่อายุยังน้อย แถมเพื่อนที่ไม่ได้เจอหน้ากันหลายปีตั้งแต่จบชั้นประถมศึกษาไปร่วมงานศพแบบขอไปที
...ไม่แปลก เพราะตอนนั้นเขาเองก็ไม่คิดว่าตัวเองจะต้องมาพัวพันกับเต็มเปี่ยมขนาดนี้....
ยมรัก... คุณอยู่ไหนกันแน่นะ...
ตลอดคาบนั้น ทุกคนต่างพากันเล่นเตะบอลแบบจริงจังมากกว่าจะสอน ทั้งระดับชั้นมีนักเรียนไม่ถึงสามสิบคน เป็นผู้ชายแค่ 12 คน เลยแบ่งทีมเป็นทีมละ 6 เต็มเปี่ยมลากนรเดชมาอยู่ทีมเดียวกันเพื่อจะช่วยสอน อนันต์ก็ประกบไตร มันเป็นเกมที่ไม่ยุ่งยากอะไร ทีมไหนยิงประตูได้ก่อนต้องถอดเสื้อ ซึ่งเต็มเปี่ยมก็ทำประตูให้ทีมขึ้นนำจึงไม่ต้องโชว์ผิวขาวๆให้ใครชม ถึงจะเรียกว่าเกมหรือการแข่งแต่เต็มเปี่ยมก็คอยแนะ คอยช่วยสอนทั้งการเลี้ยงลูกฟุตบอล การสะกัดและอะไรต่อมิอะไรอีกสารพัด จนกระทั่งหมดเวลา พวกเขาจึงกลับไปที่ห้องเรียน
‘ชั้นประถมศึกษา ๕.๑’... อ้าว ป.5 เหรอ ... จำผิดสินะ ... งั้นนี่ก็ปี 2535 สินะ นักเรียนชายตัวน้อยต่างเดินเรียงรายกันมาที่ห้อง บางคนก็ยังหลอกล้อเล่นกันตามประสา มีตบหัวกันบ้าง โชคดีที่วันนี้นรเดชเล่นบอล พวกที่ชอบแกล้งเลยรู้สึกว่าเขาเป็นส่วนหนึ่งของทีม ไม่อย่างนั้นก็คงถูกแกล้งอีก... เด็กน้อเด็ก ไม่เคยคิดอะไรมากไปกว่าการเล่น การแกล้งคนอื่น
“ไอ้-่า เหม็น” เสียงของไอ้หนุ่มดังมาแต่ไกล เนื่องจากถูกเต็มเปี่ยมใช้เสื้อนักเรียนถูไถไปกับใบหน้า
“พวกมึงแกล้งกันยังกับเด็ก” นรเดชพูดเสียงดัง
“มึงแก่มากงั้นแหละไอ้นอ”
“เรื่องของกู” ปกติอนันต์กับเต็มเปี่ยมจะไม่สุงสิงกับนรเดช อย่างที่เคยบอก เหมือนมาถึงทางแยก สองคนนั้นเลือกกีฬา นรเดชเลือกที่จะเป็นเด็กเรียน กีฬาที่ชอบก็ต้องไปเล่นกับพวกผู้หญิง
“ปากมาก มึงเอาเสื้อมันไปดม” เด็กชายอนันต์โยนเสื้อนักเรียนยับย่นมาทางนี้ นรเดชจงใจรับพลาดเสื้อเลยคลุมหน้าเขาพอดี กลิ่นแบบนี้เองสินะ...
“จะอ้วกมั้ยล่ะ” ไตรถาม
“ลองดมมั้ย” นรเดชเสนอมองไม่เห็นว่าไตรกำลังส่ายหน้า
“มึงมา” นรเดชโดนฉุดทั้งที่เสื้อปิดหน้า
“ไปไหน”
“นั่งแทนกูนี่” เสียงของอนันต์ตอบ เสื้อของเต็มเปี่ยมหลุดกองกับพื้น จังหวะเดียวกับที่เขาหย่อนก้นที่เก้าอี้ว่าง
“อะไรของมึง”
“ไม่ต้องถามมาก ไอ้ไตรเอาข้าวของไอ้นอไปโต๊ะโน้น กูไม่อยากนั่งกับคนเหม็น” อนันต์ควานข้าวของที่อยู่ในเก๊ะและเอามากองที่โต๊ะเรียนเดิมของตัวเอง นรเดชก้มดู...เก๊ะนี้ว่างเปล่า สงสัยจริงว่ามันเรียนยังไง ไม่มีหนังสือสักเล่ม
“เหม็นนิดเดียวเอง” เต็มเปี่ยมพูด รอยยิ้มแผ่นเต็มใบหน้า
“มึงทนไม่ได้ถึงขั้นย้ายหนีเลยเหรอ กูต้องรับกรรมแทนมึงเนี่ยนะ” นรเดชทำสะดิ้งแต่พองาม ทั้งที่ในใจนั้นกำลังโลดแล่น
“เออ มันเป็นอาจารย์มึง มึงไปนั่งกับมันถูกแล้ว”
“ก็ได้” นรเดชหยุดเซ้าซี้ เพราะกลัวอนันต์จะเปลี่ยนใจ
... ง่วงจัง... เวลานี้ยังไม่เที่ยง อีกนานกว่าจะได้พัก เมื่อเต็มเปี่ยมมานั่งข้างๆ นรเดชก็ส่งยิ้มให้ อีกคนก็ยิ้มกลับ ไม่ต้องพูดอะไรก็เหมือนจะสื่อสารกันได้ นรเดชคว้าเสื้อของเต็มเปี่ยมมาวางบนกองหนังสือก่อนจะใช้แทนหมอน ไม่สนใจว่าอีกคนจะอยากใส่เสื้อหรือเปล่า เต็มเปี่ยมเป็นคนเงียบๆอยู่แล้ว เมื่อเห็นท่าทางง่วงของเพื่อนก็ยอมให้ใช้เสื้อของตน วันนี้อากาศร้อน เด็กชายจึงหยิบสมุดเล่มบางมาพัด แรงลมมากพอที่นรเดชจะได้รับไอเย็นด้วย อากาศน่านอน...
วืดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดด
ปัง!
“เชี่ย หก เจ็ด!” นรเดชสะดุ้ง ตอนนี้เขาตื่นมาในสถานที่ไม่คุ้นตาอีกครั้ง มันคือช่วงเวลาไหนไม่รู้ แต่เขากำลังงัวเงียและตกใจตื่นจากเสียงปืน ... ในการแข่งขันกีฬาสี
“มึงหลับลงได้ไงวะ เสียงดังขนาดนี้” นับตั้งแต่เปลี่ยนมาเล่นฟุตบอล เต็มเปี่ยมกับเขาก็สนิทกันจนเรียกว่าตัวติด มีเต็มเปี่ยมที่ไหนก็มีนรเดชที่นั่นจนเพื่อนๆแซวว่าเป็นแฟนกัน ... นรเดชไม่ด่ากลับ เพราะเขาชอบใจ อีกอย่าง...เต็มเปี่ยมก็ไม่เคยว่าอะไร
“ก็กูง่วง” นรเดชชะงัก ทำไมบทสนทนามันราบลื่นได้เพียงนี้นะ
“ไปมึง ไปวอร์ม เดี๋ยวจะลงแข่งแล้ว”
“แข่ง”
“เออ อย่าทำหน้างง แข่งบอลไง” นรเดชตกใจ เมื่อมองดูตัวเองก็พบว่าอยู่ในชุดนักบอล ชายหนุ่มเหวอรับประทาน เนื่องจากช่วงเวลาสั้นๆที่เขาตัดสินใจเปลี่ยนแปลง เรื่องราวในชีวิตดูคล้ายจะมีทางเดินใหม่ หรือว่าการที่เขาตื่นมาในเวลานี้ก็เพื่อมาเป็นพยานเรื่องราวของตัวเองในอดีต... น่าคิดนะ
การแข่งบอลนั้นไม่ได้ยากอย่างที่คิด หรือต้องพูดว่ากีฬาไม่ได้ยากอย่างที่คิด ชายหนุ่มนึกด่าตัวเองในใจที่แต่ก่อนกลัวกับการที่จะลงสนาม กลัวคู่แข่ง กลัวรุ่นพี่ที่ดูร่างกายใหญ่โต กลัวไปหมดทุกอย่าง แต่ครั้งนี้เขากลับเล่นออกมาได้อย่างสนุก ถึงจะเล่นได้เกือบจะเรียกว่ากาก แต่เต็มเปี่ยมก็เหมือนจะเป็นอัศวินขี่ม้าขาวมาช่วย
“ตอนบอลเข้าขาไอ้นอ กูใจหายหมด นึกว่าจะวืด” อนันต์คุยเสียงดัง หลังจากจบเกม
“เออจริง ตอนซ้อมยังวืดอยู่ วันนี้ส่งบอลเก่งชิบ” เพื่อนในทีมตอกย้ำ นรเดชแอบยิ้มย่อง เรื่องนี้ไม่เคยปรากฎมาก่อน พอได้รับคำชมก็เลยรู้สึกดี แถมเต็มเปี่ยมก็ตัวติดกอดคอเขาเสียแน่น ชื่นใจจนไม่รู้ว่าจะใช้คำไหนมาบรรยาย
“เย็นนี้วันเกิดไอ้เปี่ยมนะ มีใครไปบ้าง” นรเดชชะงัก ... ทำไมมันแปลกๆ เมื่อกี้เขาอยู่ในห้องเรียนชั้น ป.5 แต่พอตื่นมาก็กลายเป็นงานกีฬาสี และยังเป็นวันเกิดของเต็มเปี่ยมอีก
“มึงต้องมานะนอ” เต็มเปี่ยมออกปากชวน
“ไม่พลาด” นรเดชตอบ ... เขาจำได้ว่าวันเกิดครบรอบ 12 ปีของเต็มเปี่ยมตรงกับงานกีฬาอะไรสักอย่าง แต่ตอนนั้นพวกเขาเริ่มห่างกันแล้ว นรเดชจึงไม่ได้ไปร่วมงาน ... ปกติแล้ว งานวันเกิดของเด็กๆไม่มีอะไรมาก พ่อแม่ทำกับข้าวเลี้ยงเพื่อนๆลูก มีเค้ก มีให้ของขวัญ แค่นั้น ไม่มีเพลง ไม่มีอะไรใหญ่โต เป็นการจัดเพื่อให้รู้ว่านี่คือวันคล้ายวันเกิด รวมพลเด็กๆ นรเดชเคยจัดงานวันเกิดสองสามครั้ง จำได้ว่าครั้งสุดท้ายคือก่อนจบป.6 เต็มเปี่ยมไม่ได้มางานของเขา เพราะเขาไม่ไปงานของเต็มเปี่ยมก่อน
“มึงจะเอาอะไรให้ไอ้เปี่ยมวะนอ” อนันต์ที่เคยเป็นไม้เบื่อไม้เมากับเขาในโลกที่ผ่านมา ตอนนี้กลับมากอดคอและคุยกับเขาอย่างสนิทสนม เบียดเต็มเปี่ยมที่กอดอยู่ก่อนหน้า
“เซอร์ไพรส์”
“ห๊ะ อะไรนะ”
“เอ่อ ไม่บอก” นรเดชลืมตัว พูดภาษาอังกฤษแบบสำเนียงอเมริกันใส่ เด็กอายุ 12 ปีอย่างอนันต์เหวอไปเลย ...
นี่ปี 2536 สินะ... ทำไมเขาวาร์ปไปมาได้แบบนี้นะ
เสียงผู้คนดังเซ็งแซ่ปลุกนรเดชให้ตื่นขึ้นอีกครั้ง เมื่อกวาดสายตาก็พบว่ามันเป็นวันมอบตัวของนักเรียนในระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ที่โรงเรียนระดับมัธยมศึกษาประจำตำบลซึ่งมีระยะทางห่างจากบ้านแค่ 2 กิโลเมตร นรเดชสลัดความงุนงงให้หลุดออก อยากรู้เหมือนกันว่าทำไมวิญญาณของเขาถึงได้เดินทางข้ามเวลาไปมาแบบนี้
ผู้ปกครองและเด็กนักเรียนรุ่นราวคราวเดียวกันเกือบสองร้อยชีวิตต่างลุกจากเก้าอี้ที่วางเรียงไว้ใต้อาคารเรียนความสูงสองชั้น แถวหน้ามีโต๊ะของเหล่าอาจารย์ที่มารับเอกสารการรายงานตัวเข้าเรียนต่อในระดับทั้งมัธยมต้นและมัธยมปลาย อาจารย์ 5 คนที่นั่งอยู่ฝั่งรับเอกสารของระดับชั้นมัธยมต้นดูคุ้นหน้าเพราะเป็นคนที่สอนนรเดชทั้งสิ้น แต่ละคนยังดูหนุ่มสาว ไม่ได้แก่เหมือนตอนกลับไปเยี่ยมเมื่อห้าปีก่อน ข้างตัวมีชั้นวางเอกสารที่เต็มไปด้วยกระดาษ ทั้งใบสมัครเข้าเรียนเย็บติดไว้กับหลักฐานการเรียนจบ เขาจำได้ว่า...เต็มเปี่ยมได้อยู่ห้อง 3 และเขาได้อยู่ห้อง 5 เป็นผู้ชายคนเดียวในกลุ่มที่ได้อยู่ห้องนั้น ห้องใหม่ โรงเรียนใหม่ที่รวมนักเรียนทั่วทั้งตำบลมาอยู่ด้วยกัน ต้องทำความรู้จักเพื่อนใหม่ คนใหม่...
ไม่ได้สิ...แบบนี้แย่แน่ ต้องแยกห้องกับเต็มเปี่ยม ความพยายามใกล้ชิดที่ผ่านมาหายหมด...
นรเดชครุ่นคิด...
ความคิด...หรือจะแอบลบชื่อไอ้เปี่ยมในใบรายชื่อห้องสาม แล้วเขียนลงว่าเป็นนักเรียนห้องห้า...
ความจริง...ตอนนี้แค่รายงานตัว ยังไม่มีรายชื่อออกมา
...ยังไม่มีรายชื่อออกมา...! นรเดชหันมองรอบๆ กองเอกสารของนักเรียนต่างถูกวางเอาไว้บนโต๊ะอาจารย์ทั้ง 5 ถ้าเข้าใจไม่ผิด หลังจบจากการรายงานตัว(รายงานตัวในที่นี้หมายถึง นักเรียนใหม่มากรอกใบสมัคร ยื่นเอกสารแล้วกลับบ้านได้เลย) พวกอาจารย์น่าจะมาแยกว่าใครจะได้อยู่ห้องไหนแล้วทำรายชื่อออกมา เขารู้ว่าได้อยู่ห้องห้าในวันปฐมนิเทศน์ตอนเปิดเทอมนั่นเอง
...ดีนะ ที่เขารู้จักโรงเรียนนี้ทุกซอกหลืบ สิ่งที่เขาต้องการตอนนี้คือ เวลา ...
และพาสเวิร์ดเข้าไปแก้ในรายชื่อนักเรียน ...
ทำไงดี
สมัยนั้นไม่มีโปรแกรมเอ็กซ์เซลนะ มีโปรแกรมอะไรก็ไม่รู้ ใช้งานโคตรยาก ต้องงัดสกิลม.ต้นมาใช้ ...
Password ... ต้องแอบสินะ
“นอ ไปไหน”
“ไปห้องน้ำ แม่กลับก่อนเลย”
“อ้าว แล้วหนูจะกลับยังไง”
“แม่ อย่าเรียกหนูสิ อายเค้า”
“ไอ้ลูกคนนี้” แม่ส่ายหน้า นรเดชมุ่งความสนใจไปที่ห้องพักครูที่เต็มไปด้วยครู... ก็ไม่ผิดเนาะ เต็มไปด้วยภารโรงสิแปลก
“เธอ มาทำอะไรครับ”
“สวัสดีครับครู” นรเดชยกมือไหว้ นี่ครูลำยอง ครูสอนสังคมที่เขาสนิทด้วยที่สุดในตอนนั้น “ผมมาเดินเล่นครับ ดูสถานที่ก่อนเข้าเรียน ครูให้ผมช่วยถือของมั้งครับ”
“อ๊ะ อ่อ ได้สิ น่ารักจังเลย ชื่ออะไรครับเรา”
“ผมชื่อนรเดชครับ”
“อยู่ห้องไหนล่ะ”
“ห้า เอ๊ย ไม่รู้ครับ”
“อ้าว ม.1 เหรอเนี่ย”
“ครับ” นรเดชยิ้มแหย วันนี้แต่งตัวเหมือนเด็กมัธยมเลยเพราะตอนนั้นตื่นเต้นที่ได้ชุดใหม่ เห่อมาก เลยใส่มาซะเลย
“อยากอยู่ห้องไหนล่ะ”
“ห้องไหนก็ได้ครับ แต่อยากอยู่กับเพื่อน”
“หือ ทำไมล่ะครับ”
“คือ พอดีสนิทกันน่ะครับ เล่นบอลด้วยกันทุกวัน กลัวจะไม่ได้อยู่ห้องเดียวกันเฉยๆครับ” นรเดชรีบปด เขาจะหลุดว่ารู้เรื่องการแยกห้องไม่ได้
“ไม่ต้องห่วงกังวลนะครับ อาจารย์จัดห้องให้แบบยุติธรรรมแน่นอน” มันไม่เกี่ยวกับเรื่องความยุติธรรมน่ะสิครับอาจารย์ ผมเคยเจอมาแล้ว โดนแยกห้องไปแบบโดดเดี่ยวเลย
“ครับ มาครับผมช่วย” นรเดชไม่รอให้อาจารย์ลำยองตอบ เขาคว้ากล่องพลาสติกที่มีเอกสารเต็มไปหมดมาถือแล้วเดินเข้าไปวางที่โต๊ะ
“เก่งจัง รู้ได้ไงเนี่ยว่าครูนั่งโต๊ะนี้”
“อ๊ะ เอ่อ ผมเดาเอาน่ะครับ ขอตัวนะครับ” นรเดชที่เพิ่งโป๊ะรีบชิ่งแก้เก้อ ยังดีที่ตอนเดินเข้าไปแอบเห็นว่าข้อมูลนักเรียนใหม่ยังไม่ถูกนำมาเก็บ แสดงว่ายังอยู่ในกองเอกสารที่จุดรายงานตัว
ชายหนุ่มคิดแผนการที่จะให้ตัวเองกับเต็มเปี่ยมได้อยู่ห้องเดียวกันเพื่อที่พวกเขาจะยังสามารถใกล้ชิด ถึงแม้จะไม่รู้ว่าต้องทำไปเพื่ออะไรก็ตาม แต่ถึงอย่างนั้นก็แอบหวังลึกๆว่าการช่วยไม่ให้เต็มเปียมตายก่อนวัยอันควรจะช่วยให้เขารอดพ้นจากเรื่องราวบ้าๆนี้ แต่ตอนนี้…ไอ้คุณยมรักหายตัวไปไหน พยายามเรียกเท่าไรก็ไม่มีการตอบกลับ ยมมทูตตนนี้หายไปราวกับไม่เคยมีตัวตนมาก่อน แถมตอนนี้นรเดชยังหลับและตื่นเดินทางข้ามเวลาไปมาราวกับแฟลชแบ็ก
ก่อนอื่น เขาต้องหาทางให้ตัวเองได้เรียนห้องเดียวกันกับเต็มเปี่ยมให้ได้
แต่เขาไม่รู้ว่าจะต้องทำอย่างไร
ไม่รู้ด้วยว่าพวกอาจารย์จะทำการแบ่งห้องเรียนวันไหน
เมื่อเดินคอตกหนีอาจารย์ลำยองกลับมาที่ใต้อาคารที่ยังพอมีผู้คนอยู่บ้าง นรเดชจึงสังเกตอีกครั้ง โต๊ะที่ 1 – 5 นั้นมีอาจารย์นั่งอยู่ โต๊ะที่ 1 อยู่ซ้ายสุดไล่เรียงมาโต๊ะ 5 ซ้ายสุดมีอาจารย์ที่นั่งประจำคือ อาจารย์ประทับใจ อาจารย์ประจำชั้นของเขาในช่วงม.ต้น!
ตอนที่ยื่นเอกสาร เต็มเปี่ยม อนันต์ ไตร และเขาเดินตามกันเป็นแถวเดียว ตอนที่เต็มเปี่ยมยื่นเอกสารที่ช่องที่ 3 นั้น อนันต์ก็รอหลังเต็มเปี่ยมเนื่องจากช่องที่ 1 และ 2 ไม่ว่าง ไตรวางเอกสารช่องที่ 4 และเขาวางช่องที่ 5 ... ช่วงมัธยมนั้นเอง เต็มเปี่ยมกับอนันต์ได้อยู่ห้อง 3 ไตรห้อง 4 เขาห้อง 5
โป๊ะเชะ!!
พวกอาจารย์แยกนักเรียนแบบนี้นี่เอง มิน่าล่ะเขาถึงได้อยู่ห้อง 5 คนเดียว เพราะเพื่อนผู้ชายคนอื่นๆยื่นที่ช่อง 1 – 4 กันหมด มีเพียงตัวเองที่ยื่นช่องนั้น ... จะทำยังไงดีล่ะ นรเดชหาข้ออ้างเพื่อจะแอบเปลี่ยนเอกสารการสมัครเข้าเรียนของตัวเองไปสับเปลี่ยนห้อง
“ครูครับ”
“ว่าไงครับ” อาจารย์พล ครูสอนสุขศึกษา อาจารย์ประจำชั้นห้อง 3 นิสัยใจดี คุยง่าย
“พอดีผมลืมติดรูปในใบสมัครครับ ก็เลยจะขอ...” พูดไม่ทันจบ อาจารย์พลก็หยิบเอกสารข้างตัวขึ้นมา
“ไหนครับ ชื่ออะไรเอ่ย เดี๋ยวครูช่วย” ใจดีเกิ๊น
“เดี๋ยวผมหาเองดีกว่าครับครู ผมเกรงใจ” นรเดชรีบคว้าเอกสารจากมืออาจารย์มาอย่างรวดเร็วเพราะกลัวโป๊ะแตก ในใจนึกขอโทษอาจารย์พลที่ทำท่าทางแปลกๆใส่ แต่เพื่ออนาคต เขาไม่มีทางเลือก ไหนวะ สองมือและสองตาไล่ค้นเอกสารในกองอย่างรวดเร็วเพื่อไม่ให้เป็นที่ผิดสังเกต อย่าลน...ท่องไว้... เต็มเปี่ยมๆๆๆ อ๊ะ เจอแล้ว
“เจอมั้ยครับ”
“ยังครับ” นรเดชรีบปด ลอบมองอาจารย์พลว่าเมื่อไหร่จะเผลอ แค่เสี้ยววินาทีเดียวก็ยังดี มือที่ถือเอกสารทั้งกองเริ่มสั่น ใครไม่อยู่ตรงนี้ไม่รู้หรอกว่ามันบีบคั้นมากแค่ไหน การที่ได้รู้เรื่องราวมาก่อนไม่ได้ช่วยให้อะไรง่ายขึ้น ต้องรอ...รอ...พอได้จังหวะ เขาก็ดึงเอกสารของเต็มเปี่ยมออกมา
“ไม่เจอเหรอครับ” ดีนะที่วันนี้เอากระเป๋านักเรียนมาด้วย นรเดชคนมือไวเลยซ่อนเอกสารเพื่อนได้ทัน
“ไม่เจอครับครู”
“แล้วเมื่อกี้เราส่งเอกสารช่องไหน”
“เมื่อกี้ผมส่งช่องโน้นครับ” เขาชี้ไปทางที่นั่งอาจารย์ประทับใจ
“อ้อ งั้นต้องไปดูที่โต๊ะอาจารย์ประทับใจนะครับ” ครูพลเป็นคนใจดีไม่ยอมเปลี่ยนแปลง
“เหรอครับ ขอบคุณครับครู” นรเดชรีบวิ่ง หางตาแอบมองอาจารย์พล เมื่อเห็นว่าไม่ได้มองตาม ก็ชลอฝีเท้า ระยะของเก้าอี้มันแค่สามก้าว นรเดชจึงค่อยๆย่องมาด้านหลังโต๊ะ 5 ไม่ให้เป็นที่สังเกต ก่อนจะอาศัยจังหวะที่มีคนมาส่งใบสมัครและครูประทับใจง่วนกับการให้คำแนะนำ นรเดชรีบหย่อนเอกสารของเต็มเปี่ยมลงไป
...ไม่ได้สิ วางไว้เฉยๆแบบนี้กลัวโดนเปลี่ยน ... นรเดชคิด ก่อนจะหยิบเอกสารชุดเดิมขึ้นมาและวางเข้าไปตรงกลางของกองเอกสารทั้งหมด ... แบบนี้สิ ไม่มีใครรู้ว่าอันไหนของเต็มเปี่ยม
...และแล้ว เต็มเปี่ยมและนรเดช ก็ได้เรียนชั้นเดียวกันตั้งแต่ระดับชั้น ม.1 – 3
เอี๊ยดดดดดดดดดดดดด โครม!
“เจ็บจัง เจ็บชิบหาย...”
“คุณ คุณ”
“ยมรัก... ที่นี่ที่ไหน”
“โลกันตนรก ... คุณตายแล้ว”
“ห๊า!”
นิยายแนะนำ
นิยายแนะนำ
ความคิดเห็น
COMMENT
เว็บไซต์นี้ใช้คุกกี้
เว็บไซต์นี้ใช้คุกกี้ เพื่อสร้างประสบการณ์นำเสนอคอนเทนต์ที่ดีให้กับท่าน รวมถึงเพื่อจัดการข้อมูลส่วนบุคคลเพื่อให้ท่านได้รับประสบการณ์ที่ดีบนบริการของเว็บไซต์เรา หากท่านใช้บริการเว็บไซต์นี้ต่อไปโดยไม่มีการปรับตั้งค่าใดๆ นั่นเป็นการแสดงว่าท่านอนุญาตยินยอมที่จะรับคุกกี้บนเว็บไซต์และนโยบายสิทธิส่วนบุคคลของเรา
userA???
???? ??? ? ???? ?? ??