เรื่อง หงสาสีนิล (จบ)

ติดตาม
เล่มที่ 4 บทที่ 116 ศักราชใหม่ของทุ่งหญ้าป่าเถื่อน
เล่มที่ 4 บทที่ 116 ศักราชใหม่ของทุ่งหญ้าป่าเถื่อน
  • ปรับสีและขนาดตัวอักษร

        ยามราตรี 

        หยาดฝนโปรยปราย

        โชคดีที่๭ุ๯๼๤เตรียมพร้อมไว้รอบด้าน

        เนื้อผ้าของชุดที่สวมนอกจากจะเป็นสีเขียวเหลือง ยังสามารถกันน้ำได้ด้วย

        ๭ุ๯๼๤ล้วนแต่เป็นคนที่เคยอาศัยบนทุ่งหญ้า ให้สร้างเพิงง่ายๆ นั้นก็ไม่นับว่ายุ่งยากอันใด

        ด้านบนยังปูผ้าไว้อีกด้วย

        ไฟในกองไฟยังคงปะทุอยู่

        ฟังเสียงหยาดฝนหยดกระทบเพิงดังเปาะแปะ ผสานกับเสียงไหลรินของหยาดน้ำฝนที่รวมกันฟังแล้วคล้ายกับบทเพลงนัก

        ๭ุ๯๼๤กิน๩๦ั่๤โถวกับเนื้อแห้งแล้วร่างกายก็พลันรู้สึกอบอุ่นขึ้นมา

        ร่างกายที่สู้รบกรำศึกมาทั้งวันก็เหนื่อยอ่อนเต็มทน บัดนี้จึงง่วงงุนเหลือเกิน

        เพียงปูผ้าสักผืนลวกๆ ก็สามารถหลับได้ทันที

        แน่นอนว่าบางคนก็ยังไม่คลายจากความตื่นเต้น เช่นเสี่ยวอู่ ทั้งยังมีอู๋เจียง และแม่นางอีกกลุ่มใหญ่

        สตรีนั้นช่างเป็นสิ่งมีชีวิตที่แปลกประหลาดเหลือเกิน วันธรรมดาร่างกายพวกนางก็บอบบางอ่อนแอนัก ทว่าเมื่อถึงเวลาคับขัน ขนาดรบราฆ่าฟันมาถึงหนึ่งวันเต็มๆ ตกค่ำแล้วพวกนางก็ยังไม่วายดูกระปรี้กระเปร่า

        เช่นเดียวกันกับอาลู่ นายท่านสามและคนอื่นๆ ที่คอยเป็นกำลังหลักมาตลอด ยามนี้เหนื่อยเสียจนลุกขึ้นยืนไม่ไหว 

        อาลู่เอนกายพิงห่อสัมภาระ ฟังเสียงคนอื่นๆ สนทนาเรื่องนั้นทีเรื่องนี้ที

        เสี่ยวอู่เล่าเรื่องที่เขาพบเจอในสนามรบอย่างกระตือรือร้น เมื่อเล่าถึงจุดที่ตื่นเต้นที่สุดก็อดจะลุกขึ้นมาทำท่าทางประกอบไม่ได้

        “พวกคนแคว้นจิงถือหอกยาวเดินดุ่มๆ มา ข้าเห็นเข้าจึงเอาลูกเหล็กฟาดจนบินไปเลยเชียว” 

        “แล้วอย่างไรกัน ข้ายังเห็นเหล่าหลิว ใช้แขนข้างเดียวของตัวเองตัดหัวทหารแคว้นจิงได้ในดาบเดียวเสียด้วยซ้ำ” แม่นางคนหนึ่งเมื่อเห็นว่าเสี่ยวอู่เอาแต่คุยโว ก็อดจะโต้แย้งขึ้นไม่ได้

        เหล่าหลิวชายชราที่เหลือแขนเพียงข้างเดียวเมื่อได้ยินว่ามีคนเอ่ยชมตนก็ทั้งยิ้มทั้งหัวเราะ

        มือข้างเดียวยังคงถืออาหารอยู่ คิดจะปัดมือเป็นการถ่อมตัวสักหน่อย แต่ก็ทำได้เพียงต้องวางอาหารลงก่อน “ก็แค่โชคดีเท่านั้น ตอนนั้นข้ากลัวแทบตายจึงได้ออกแรงมากไปหน่อย ไม่ได้คิดเลยว่าคนแคว้นจิงก็เหมือนกับพวกเรา เพียงพริบตาก็หัวขาดเสียแล้ว”

        อาสวินและราชครูพาเฉินโย่วไปเดินเล่น

        ราชครูเห็นว่าเมื่อเฉินโย่วเดินไปถึงที่ใด ฝูงหมาป่าพากันเดินตามมา

        ทว่าท่าทางของพวกมันก็ไม่เหมือนกับว่าจะเข้ามาทำร้าย ดูแล้วเหมือนกำลังช่วยคุ้มกันมากกว่า ดังนั้นรอจนพวกเขาเดินอ้อมกลับมา ในอ้อมอกของเฉินโย่วก็มีลูกหมาป่าเพิ่มมาอีกตัวหนึ่ง

        เจ้าตัวนี้ดูท่าเพิ่งจะเกิดได้ไม่นาน  เจ้าลูกหมาป่าตัวชื้นๆ นี้ยังคงนอนอยู่ในพงหญ้า

        วุ่นวายกันพักหนึ่ง เมื่อกินอิ่ม ดื่มกันจนได้ที่ ฝนก็หยุดลงแล้ว

        ฟ้าพลันเปลี่ยนเป็นสดใส

        ดวงดาวพราวระยับไปทั้งผืนฟ้า

        ๭ุ๯๼๤เอนกายนอนบนพื้นหญ้า แม้จะหนาวไปหน่อยแต่เมื่อมองซ้ายมองขวาแล้วเห็นคนก็อุ่นใจกันขึ้นมา

        เฉินโย่วนอนลงบนพื้นเบียดอยู่ข้างพี่ชาย อีกฝั่งยังมีเจ้าลูกหมาป่าคอยเบียดนางอยู่เช่นกัน เมื่อนอนรวมกันอยู่เช่นนี้ก็รู้สึกอบอุ่นไม่เบา

        เจ้ามืดเดินเข้ามาช้าๆ จากนั้นจึงหยุดยืนเพื่อคุ้มกัน๭ุ๯๼๤

        ไม่ไกลยังมีฝูงอินทรีกำลังเกาะกลุ่มกันอย่างเป็นระเบียบ

        อีกไม่ไกลเช่นกัน ยังมีฝูงหมาป่านอนหมอบเรียงกันอยู่

        กองไฟค่อยๆ อ่อนแสงลง

        ฟ้าค่อยๆ สว่างขึ้น

        ทั้งนกทั้งแมลงต่างพากันส่งเสียงดังจอแจ

        หลังจากฝนตก หญ้าก็กลับมาเขียวชอุ่มดังเดิม รอยเลือดล้วนถูกชะล้างไปจนสิ้น

        ทั้งฟ้าดินล้วนเป็นใจให้คนรู้สึกปลอดโปร่งจนอยากกู่ร้องออกมา

        ชาวหมู่บ้านไป๋กู่ก็ตื่นแล้ว

        หลังจากกินมื้อเช้ากันเรียบร้อยแล้วก็ออกเดินทางกลับ

        เฉินโย่วยังคงขี่หลังเจ้ามืดเหมือนเช่นเคย ทว่ากระเป๋าบนหลังเจ้ามืดอีกฟากหนึ่งที่เคยใส่ขนมไว้ ยามนี้กลับเปลี่ยนมาใส่เจ้าลูกหมาป่าเอาไว้เสียแล้ว

        ๭ุ๯๼๤ล้วนแต่อยากรีบกลับภูเขา

        เดินไปในขบวนก็มีคนมาเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ

        ทุ่งหญ้าหลังจากโดนกองทัพจิงปิดล้อมก็ไม่เหลือคนที่ยังมีชีวิตอยู่

        หลังจากที่ฝน-่าใหญ่ผ่านพ้นไป บนทุ่งหญ้าก็ค่อยๆ มีคนปรากฏตัวขึ้น ทว่าส่วนใหญ่แล้ว มีเพียงเด็กและคนชรา ไร้เงาของบุรุษและสตรี

        ด้วยเพราะบุรุษและสตรีนั้น เพื่อที่จะให้เหล่าคนชราและเด็กได้มีชีวิตต่อจึงล้วนแต่สู้จนตัวตาย

        เหล่าคนชราที่พาเด็กๆ หนีจากการบุกสังหารของกองทัพจริงที่สังหารคนราวกับต้นหญ้ามาได้ ก็ราวกับ๯๮ะ๱่า๺ที่แอบอยู่ในพงหญ้า ยามมีลมพัดหญ้าไหวก็พากันหลบซ่อน เมื่อรู้สึกว่าปลอดภัยแล้วก็พากันขวัญกล้าออกมาจากพงหญ้า

        ยามนี้ก็เป็นเช่นนั้น

        เหล่าคนชราพาเด็กเล็กเข้าร่วมเดินไปกับขบวน

        ด้วยเหตุนี้ขบวนจากหมู่บ้านไป๋กู่จึงค่อยๆ ยาวขึ้นเรื่อยๆ

        จวบจนเมื่อมาถึงภูเขา กระเช้าก็ไม่อาจนั่งได้อีกต่อไป เพราะจำนวนคนนั้นมีมากเกินไป จึงได้แต่ส่งคนที่ได้รับบาดเจ็บหนักขึ้นไปก่อน

        ถนนกระดูกที่ทอดยาว มีคนเดินเรียงต่อกันเป็นแถว

        ชาวหมู่บ้านไป๋กู่ที่ได้ผ่านประสบการณ์เฉียดตาย ราวกับได้อาบน้ำศักดิ์สิทธิ์ก็ไม่ปาน ๭ุ๯๼๤ล้วนแต่แข็งแรงบึกบึนขึ้น ทั้งยังสามัคคีกันมากขึ้น

        แม่นางหลัวเมื่อเห็นแถวที่ทอดยาวกำลังเคลื่อนมา ก็รีบเปลี่ยนมาสวมชุดสีแดง เพื่อต้อนรับ๭ุ๯๼๤

        ด้านหลังนางล้วนแต่เป็นคนที่รั้งอยู่เพื่อช่วยกันเฝ้าภูเขา

        แม่นางหลัวเมื่อเห็นว่ามีขบวนกำลังเคลื่อนมาก็ตื่นเต้นดีใจเหลือเกิน

        นางอุ้มเฉินโย่วลงมาจากหลังม้า หมุนซ้ายขวาเพื่อตรวจดู เมื่อเห็นว่าเด็กหญิงไม่เป็นไรก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก

        เหลือบไปมองด้านข้างก็เห็นอาลู่ เสี่ยวอู่ อาสวิน

        เมื่อเห็นเช่นนั้นก็ดึงเด็กชายทั้งสามคนเข้ามากอด ทำเอาพวกเขาล้วนแต่หน้าแดงหูแดงกันไปหมด

        นางให้พวกเขาเรียกว่าน้าหลัวตามเฉินโย่ว

        แม่นางหลัวเป็นสตรีที่งดงามเกินใคร ความงามของนางราวกับหยุดกาลเวลาเอาไว้ หลายปีที่ผ่านมานางราวกับไม่เปลี่ยนไปเลยสักนิด ในทางกลับกัน นางนั้นยิ่งดูล้ำลึกกว่าเดิมเสียด้วยซ้ำ

        เหล่าเด็กหนุ่มล้วนแต่เขินอาย

        นี่เป็นครั้งแรกที่เขาถูกน้าหลัวผู้นับว่าเป็นผู้อาวุโสของตนสวมกอด

        ต่อมาก็เป็นนายท่านสาม

        นายท่านสามเร่งก้าวเข้ามาประชิดตัวแม่นางหลัวจากนั้นก็กางแขนทั้งสองข้างออก ใบหน้าตื่นเต้นนั้นกล่าวขึ้นว่า “อู๋เลี่ยง ข้ายังมีชีวิตกลับมา”

        แม่นางหลัวเงยหน้ามองใบหน้าของชายหนุ่มที่ดวงตาทั้งสองคลอไปด้วยน้ำตา

        “อืม ข้ารู้แล้ว”

        แม่นางหลัวเมื่อเห็นว่าเขากางแขนทั้งสองออกเพื่อรอให้นางสวมกอด ก็กระโดดหลบด้วยความกระอักกระอ่วน ใบหน้างดงามเปลี่ยนเป็นสีแดง

        คนอื่นๆ เมื่อเห็นเช่นนั้นก็หัวเราะกันดังสนั่น

        นายท่านสามเก็บมือของตนกลับไปอย่างเขินอาย มือข้างหนึ่งหวังจะปัดผมที่ปรกหน้าอยู่ เพียงแต่เพิ่งจะคิดได้ว่า เพื่อความสะดวกในยามมาสู้รบ เขาจึงรวบเก็บผมทั้งหมดให้เรียบร้อย ไม่ได้ปล่อยให้ลงมาปิดคิ้วที่บากหายไปกว่าครึ่งของตนเหมือนในยามปกติ

        ในตอนนั้นเองเขาจึงเร่งดึงปอยผมลงมามากมาย ท่าทางเช่นนั้นของเขามีแต่จะทำให้๭ุ๯๼๤หัวเราะดังขึ้น

        เหล่าคนชราและเด็กที่ขอติดตามขบวนมาด้วยตนเองนั้นยังคงรู้สึกเป็นกังวลอยู่

        พวกเขาอยากมีชีวิต...อยากมีชีวิตอยู่ต่อ จึงได้เลือกที่จะติดตามขบวนกันมา

        เหล่าคนที่สามารถสังหารกองทัพจิงได้ ย่อมต้องไม่ใช่คนมีคุณธรรมอะไร  เพียงแต่ใครจะร้ายกว่าใครก็เท่านั้น

        ทว่าเมื่อเทียบกันแล้ว ทหารแคว้นจิงที่ฆ่าคนราวกับผักปลา พวกเขาขอเลือกติดตามกลุ่มคนขบวนนี้จะดีกว่า

        พวกเขานั้นทำใจกับผลการตัดสินใจที่แย่ที่สุดของพวกตนไว้แล้ว

        ยามนี้เมื่อได้ยินเสียงหัวเราะดังขึ้น ยามมองไปก็เห็นว่ากระทั่งชายชราที่พิการก็กำลังหัวเราะอยู่ เมื่อมองไปอีกด้านก็เห็นแม่นางแสนงามอีกคนกำลังหัวเราะอยู่เช่นกัน

        ที่ท้ายขบวนเด็กชายวัยฟันกำลังงอกคนหนึ่งที่ฟันหน้าหายไปสองซี่ก็ร่วมหัวเราะไปกับเขาด้วยเช่นกัน

        ทว่ากลับถูกชายชราที่อยู่ด้านหลังยื่นมือมาอุดปากไว้แน่น ใบหน้าของชายชราเต็มไปด้วยความหวาดกลัวและระแวดระวัง จากนั้นจึงออกแรงหยิกเนื้อบนหลังของเด็กชาย

        เด็กชายแม้จะเจ็บเสียจนทำหน้ายู่ แต่ก็รู้ความ ไม่ได้ส่งเสียงร้องออกมา

        “อย่าร้อง ห้ามดื้อเด็ดขาด”

        เมื่อชายชราปล่อยมือ เด็กน้อยก็นิ่งขึ้นมาก แต่ว่าไม่นานเด็กชายก็อดไม่ไหวจนต้องหัวเราะขึ้นมาอีกครา นั่นก็เพราะบนภูเขา กระดูกขาวที่มีผ้าหลากสีประดับประดาอยู่นั้น อยู่ดีๆ ก็มีเด็กน้อยกลิ้งออกมา กลิ้งหลุนๆ มาหยุดลงหน้าขบวนตรงจุดที่มีเด็กหญิงนั่งอยู่บนหลังม้า

        เหตุผลที่พวกเขาเลือกติดตามขบวนนี้มา เหตุผลหลักนั้นก็เพราะในขบวนมีเด็กหญิงคนนี้ ขบวนที่มีเด็กหญิงนำทัพเช่นนี้ ต่อให้เลวร้ายถึงเพียงใดก็ไม่น่าจะฆ่าแกงเด็กเล็ก ครู่ต่อมาก็ราวกับมีการแสดงอยู่ก็ไม่ปาน

        เด็กเล็กมากมายอยู่ดีๆ ก็ปรากฏตัวพร้อมกัน ร่างเล็กๆ ของทารกนั้นปีนได้คล่องแคล่ว ครู่เดียวก็มาหยุดลงตรงหน้าเด็กหญิง

        มีสองคนเกาะขาของนางเอาไว้

        เด็กหญิงที่ดูสง่าผ่าเผยมาตลอดเส้นทาง ทันใดนั้นก็ร้องไห้จ้า

        “น้าหลัวช่วยข้าด้วย เสี่ยวหนิวอึใส่ขาข้าแล้ว” เสียงใสๆ ปนสะอื้นไห้ดังขึ้น

        ท่านราชครูยังกังวลว่าองค์หญิงนั้นจะตกใจเกินไป ตลอดเส้นทางจึงได้เงียบงันถึงเพียงนั้น ทั้งแววตาของนางก็ยังเคร่งขรึมเหลือเกิน บัดนี้ได้ยินเสียงนางร้องขึ้นมาก็รู้สึกโล่งใจ

        ชายชราที่เมื่อครู่เพิ่งจะเอามืออุดปากหลานชาย เมื่อเห็นภาพตรงหน้าก็อดไม่ไหวหัวเราะลั่นออกมาเช่นกัน

        ชายชรานั้นไม่เหมือนกับหลานชายวัยผลัดฟันของตน ยามที่เขาอ้าปาก ในปากนั้นเหลือฟันแค่ซี่เดียว ยามหัวเราะจึงทำให้ดูคล้ายกับ๯๮ะ๱่า๺ยิ่งนัก

ตอนต่อไป
เล่มที่ 4 บทที่ 117 ใต้หล้าร่ว...

นิยายแนะนำ

นิยายแนะนำ

ความคิดเห็น

COMMENT

ปักหมุด

© สงวนลิขสิทธิ์ 2017 Glory Forever Public Company Limited( Kawebook.com )

Glory Forever Public Company Limited ( Kawebook.com )
ที่อยู่ : 20 หมู่ที่ 6 ตำบลพันท้ายนรสิงห์ อำเภอเมืองสมุทรสาคร จังหวัดสมุทรสาคร 74000
เวลาทำการ : 08 : 00 - 18 : 00 จันทร์ - เสาร์
e-mail : contact@kawebook.com

DMCA.com Protection Status

เริ่มต้นเผยแพร่ผลงาน

เริ่มต้นเป็นนักเขียนออนไลน์ เขียนเรื่องราวที่ประทับใจ สร้างเนื้อหาที่เป็นประโยชน์ และแบ่งปันประสบการ์ดีๆ กับผู้คนทั่วโลก kawebook.com เป็นโอกาส เป็นสื่อกลาง และยังเป็นอีกหนึ่งช่องทาง ในการสร้างรายได้ให้กับนักเขียนมืออาชีพ และนักเขียนมือสมัครเล่นจากทุกมุมโลก เพียงสมัครเป็นสมาชิกเว็บไซต์เพื่อเขียนหนังสือ การ์ตูน หรืออัพโหลดอนิเมชั่น ที่เป็นผลงานของท่าน และเผยแพร่ผลงานสู่สาธารณชน

© สงวนลิขสิทธิ์ 2017 Glory Forever Public Company Limited ( Kawebook.com )

© สงวนลิขสิทธิ์ 2017 Glory Forever Public Company Limited ( Kawebook.com )

เว็บไซต์นี้ใช้คุกกี้

เว็บไซต์นี้ใช้คุกกี้ เพื่อสร้างประสบการณ์นำเสนอคอนเทนต์ที่ดีให้กับท่าน รวมถึงเพื่อจัดการข้อมูลส่วนบุคคลเพื่อให้ท่านได้รับประสบการณ์ที่ดีบนบริการของเว็บไซต์เรา หากท่านใช้บริการเว็บไซต์นี้ต่อไปโดยไม่มีการปรับตั้งค่าใดๆ นั่นเป็นการแสดงว่าท่านอนุญาตยินยอมที่จะรับคุกกี้บนเว็บไซต์และนโยบายสิทธิส่วนบุคคลของเรา