เรื่อง หงสาสีนิล (จบ)
ยามราตรี
หยาดฝนโปรยปราย
โชคดีทีุ่เตรียมพร้อมไว้รอบด้าน
เนื้อผ้าของชุดที่สวมนอกจากจะเป็นสีเขียวเหลือง ยังสามารถกันน้ำได้ด้วย
ุล้วนแต่เป็นคนที่เคยอาศัยบนทุ่งหญ้า ให้สร้างเพิงง่ายๆ นั้นก็ไม่นับว่ายุ่งยากอันใด
ด้านบนยังปูผ้าไว้อีกด้วย
ไฟในกองไฟยังคงปะทุอยู่
ฟังเสียงหยาดฝนหยดกระทบเพิงดังเปาะแปะ ผสานกับเสียงไหลรินของหยาดน้ำฝนที่รวมกันฟังแล้วคล้ายกับบทเพลงนัก
ุกินั่โถวกับเนื้อแห้งแล้วร่างกายก็พลันรู้สึกอบอุ่นขึ้นมา
ร่างกายที่สู้รบกรำศึกมาทั้งวันก็เหนื่อยอ่อนเต็มทน บัดนี้จึงง่วงงุนเหลือเกิน
เพียงปูผ้าสักผืนลวกๆ ก็สามารถหลับได้ทันที
แน่นอนว่าบางคนก็ยังไม่คลายจากความตื่นเต้น เช่นเสี่ยวอู่ ทั้งยังมีอู๋เจียง และแม่นางอีกกลุ่มใหญ่
สตรีนั้นช่างเป็นสิ่งมีชีวิตที่แปลกประหลาดเหลือเกิน วันธรรมดาร่างกายพวกนางก็บอบบางอ่อนแอนัก ทว่าเมื่อถึงเวลาคับขัน ขนาดรบราฆ่าฟันมาถึงหนึ่งวันเต็มๆ ตกค่ำแล้วพวกนางก็ยังไม่วายดูกระปรี้กระเปร่า
เช่นเดียวกันกับอาลู่ นายท่านสามและคนอื่นๆ ที่คอยเป็นกำลังหลักมาตลอด ยามนี้เหนื่อยเสียจนลุกขึ้นยืนไม่ไหว
อาลู่เอนกายพิงห่อสัมภาระ ฟังเสียงคนอื่นๆ สนทนาเรื่องนั้นทีเรื่องนี้ที
เสี่ยวอู่เล่าเรื่องที่เขาพบเจอในสนามรบอย่างกระตือรือร้น เมื่อเล่าถึงจุดที่ตื่นเต้นที่สุดก็อดจะลุกขึ้นมาทำท่าทางประกอบไม่ได้
“พวกคนแคว้นจิงถือหอกยาวเดินดุ่มๆ มา ข้าเห็นเข้าจึงเอาลูกเหล็กฟาดจนบินไปเลยเชียว”
“แล้วอย่างไรกัน ข้ายังเห็นเหล่าหลิว ใช้แขนข้างเดียวของตัวเองตัดหัวทหารแคว้นจิงได้ในดาบเดียวเสียด้วยซ้ำ” แม่นางคนหนึ่งเมื่อเห็นว่าเสี่ยวอู่เอาแต่คุยโว ก็อดจะโต้แย้งขึ้นไม่ได้
เหล่าหลิวชายชราที่เหลือแขนเพียงข้างเดียวเมื่อได้ยินว่ามีคนเอ่ยชมตนก็ทั้งยิ้มทั้งหัวเราะ
มือข้างเดียวยังคงถืออาหารอยู่ คิดจะปัดมือเป็นการถ่อมตัวสักหน่อย แต่ก็ทำได้เพียงต้องวางอาหารลงก่อน “ก็แค่โชคดีเท่านั้น ตอนนั้นข้ากลัวแทบตายจึงได้ออกแรงมากไปหน่อย ไม่ได้คิดเลยว่าคนแคว้นจิงก็เหมือนกับพวกเรา เพียงพริบตาก็หัวขาดเสียแล้ว”
อาสวินและราชครูพาเฉินโย่วไปเดินเล่น
ราชครูเห็นว่าเมื่อเฉินโย่วเดินไปถึงที่ใด ฝูงหมาป่าพากันเดินตามมา
ทว่าท่าทางของพวกมันก็ไม่เหมือนกับว่าจะเข้ามาทำร้าย ดูแล้วเหมือนกำลังช่วยคุ้มกันมากกว่า ดังนั้นรอจนพวกเขาเดินอ้อมกลับมา ในอ้อมอกของเฉินโย่วก็มีลูกหมาป่าเพิ่มมาอีกตัวหนึ่ง
เจ้าตัวนี้ดูท่าเพิ่งจะเกิดได้ไม่นาน เจ้าลูกหมาป่าตัวชื้นๆ นี้ยังคงนอนอยู่ในพงหญ้า
วุ่นวายกันพักหนึ่ง เมื่อกินอิ่ม ดื่มกันจนได้ที่ ฝนก็หยุดลงแล้ว
ฟ้าพลันเปลี่ยนเป็นสดใส
ดวงดาวพราวระยับไปทั้งผืนฟ้า
ุเอนกายนอนบนพื้นหญ้า แม้จะหนาวไปหน่อยแต่เมื่อมองซ้ายมองขวาแล้วเห็นคนก็อุ่นใจกันขึ้นมา
เฉินโย่วนอนลงบนพื้นเบียดอยู่ข้างพี่ชาย อีกฝั่งยังมีเจ้าลูกหมาป่าคอยเบียดนางอยู่เช่นกัน เมื่อนอนรวมกันอยู่เช่นนี้ก็รู้สึกอบอุ่นไม่เบา
เจ้ามืดเดินเข้ามาช้าๆ จากนั้นจึงหยุดยืนเพื่อคุ้มกันุ
ไม่ไกลยังมีฝูงอินทรีกำลังเกาะกลุ่มกันอย่างเป็นระเบียบ
อีกไม่ไกลเช่นกัน ยังมีฝูงหมาป่านอนหมอบเรียงกันอยู่
กองไฟค่อยๆ อ่อนแสงลง
ฟ้าค่อยๆ สว่างขึ้น
ทั้งนกทั้งแมลงต่างพากันส่งเสียงดังจอแจ
หลังจากฝนตก หญ้าก็กลับมาเขียวชอุ่มดังเดิม รอยเลือดล้วนถูกชะล้างไปจนสิ้น
ทั้งฟ้าดินล้วนเป็นใจให้คนรู้สึกปลอดโปร่งจนอยากกู่ร้องออกมา
ชาวหมู่บ้านไป๋กู่ก็ตื่นแล้ว
หลังจากกินมื้อเช้ากันเรียบร้อยแล้วก็ออกเดินทางกลับ
เฉินโย่วยังคงขี่หลังเจ้ามืดเหมือนเช่นเคย ทว่ากระเป๋าบนหลังเจ้ามืดอีกฟากหนึ่งที่เคยใส่ขนมไว้ ยามนี้กลับเปลี่ยนมาใส่เจ้าลูกหมาป่าเอาไว้เสียแล้ว
ุล้วนแต่อยากรีบกลับภูเขา
เดินไปในขบวนก็มีคนมาเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
ทุ่งหญ้าหลังจากโดนกองทัพจิงปิดล้อมก็ไม่เหลือคนที่ยังมีชีวิตอยู่
หลังจากที่ฝน-่าใหญ่ผ่านพ้นไป บนทุ่งหญ้าก็ค่อยๆ มีคนปรากฏตัวขึ้น ทว่าส่วนใหญ่แล้ว มีเพียงเด็กและคนชรา ไร้เงาของบุรุษและสตรี
ด้วยเพราะบุรุษและสตรีนั้น เพื่อที่จะให้เหล่าคนชราและเด็กได้มีชีวิตต่อจึงล้วนแต่สู้จนตัวตาย
เหล่าคนชราที่พาเด็กๆ หนีจากการบุกสังหารของกองทัพจริงที่สังหารคนราวกับต้นหญ้ามาได้ ก็ราวกับะ่าที่แอบอยู่ในพงหญ้า ยามมีลมพัดหญ้าไหวก็พากันหลบซ่อน เมื่อรู้สึกว่าปลอดภัยแล้วก็พากันขวัญกล้าออกมาจากพงหญ้า
ยามนี้ก็เป็นเช่นนั้น
เหล่าคนชราพาเด็กเล็กเข้าร่วมเดินไปกับขบวน
ด้วยเหตุนี้ขบวนจากหมู่บ้านไป๋กู่จึงค่อยๆ ยาวขึ้นเรื่อยๆ
จวบจนเมื่อมาถึงภูเขา กระเช้าก็ไม่อาจนั่งได้อีกต่อไป เพราะจำนวนคนนั้นมีมากเกินไป จึงได้แต่ส่งคนที่ได้รับบาดเจ็บหนักขึ้นไปก่อน
ถนนกระดูกที่ทอดยาว มีคนเดินเรียงต่อกันเป็นแถว
ชาวหมู่บ้านไป๋กู่ที่ได้ผ่านประสบการณ์เฉียดตาย ราวกับได้อาบน้ำศักดิ์สิทธิ์ก็ไม่ปาน ุล้วนแต่แข็งแรงบึกบึนขึ้น ทั้งยังสามัคคีกันมากขึ้น
แม่นางหลัวเมื่อเห็นแถวที่ทอดยาวกำลังเคลื่อนมา ก็รีบเปลี่ยนมาสวมชุดสีแดง เพื่อต้อนรับุ
ด้านหลังนางล้วนแต่เป็นคนที่รั้งอยู่เพื่อช่วยกันเฝ้าภูเขา
แม่นางหลัวเมื่อเห็นว่ามีขบวนกำลังเคลื่อนมาก็ตื่นเต้นดีใจเหลือเกิน
นางอุ้มเฉินโย่วลงมาจากหลังม้า หมุนซ้ายขวาเพื่อตรวจดู เมื่อเห็นว่าเด็กหญิงไม่เป็นไรก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก
เหลือบไปมองด้านข้างก็เห็นอาลู่ เสี่ยวอู่ อาสวิน
เมื่อเห็นเช่นนั้นก็ดึงเด็กชายทั้งสามคนเข้ามากอด ทำเอาพวกเขาล้วนแต่หน้าแดงหูแดงกันไปหมด
นางให้พวกเขาเรียกว่าน้าหลัวตามเฉินโย่ว
แม่นางหลัวเป็นสตรีที่งดงามเกินใคร ความงามของนางราวกับหยุดกาลเวลาเอาไว้ หลายปีที่ผ่านมานางราวกับไม่เปลี่ยนไปเลยสักนิด ในทางกลับกัน นางนั้นยิ่งดูล้ำลึกกว่าเดิมเสียด้วยซ้ำ
เหล่าเด็กหนุ่มล้วนแต่เขินอาย
นี่เป็นครั้งแรกที่เขาถูกน้าหลัวผู้นับว่าเป็นผู้อาวุโสของตนสวมกอด
ต่อมาก็เป็นนายท่านสาม
นายท่านสามเร่งก้าวเข้ามาประชิดตัวแม่นางหลัวจากนั้นก็กางแขนทั้งสองข้างออก ใบหน้าตื่นเต้นนั้นกล่าวขึ้นว่า “อู๋เลี่ยง ข้ายังมีชีวิตกลับมา”
แม่นางหลัวเงยหน้ามองใบหน้าของชายหนุ่มที่ดวงตาทั้งสองคลอไปด้วยน้ำตา
“อืม ข้ารู้แล้ว”
แม่นางหลัวเมื่อเห็นว่าเขากางแขนทั้งสองออกเพื่อรอให้นางสวมกอด ก็กระโดดหลบด้วยความกระอักกระอ่วน ใบหน้างดงามเปลี่ยนเป็นสีแดง
คนอื่นๆ เมื่อเห็นเช่นนั้นก็หัวเราะกันดังสนั่น
นายท่านสามเก็บมือของตนกลับไปอย่างเขินอาย มือข้างหนึ่งหวังจะปัดผมที่ปรกหน้าอยู่ เพียงแต่เพิ่งจะคิดได้ว่า เพื่อความสะดวกในยามมาสู้รบ เขาจึงรวบเก็บผมทั้งหมดให้เรียบร้อย ไม่ได้ปล่อยให้ลงมาปิดคิ้วที่บากหายไปกว่าครึ่งของตนเหมือนในยามปกติ
ในตอนนั้นเองเขาจึงเร่งดึงปอยผมลงมามากมาย ท่าทางเช่นนั้นของเขามีแต่จะทำใหุ้หัวเราะดังขึ้น
เหล่าคนชราและเด็กที่ขอติดตามขบวนมาด้วยตนเองนั้นยังคงรู้สึกเป็นกังวลอยู่
พวกเขาอยากมีชีวิต...อยากมีชีวิตอยู่ต่อ จึงได้เลือกที่จะติดตามขบวนกันมา
เหล่าคนที่สามารถสังหารกองทัพจิงได้ ย่อมต้องไม่ใช่คนมีคุณธรรมอะไร เพียงแต่ใครจะร้ายกว่าใครก็เท่านั้น
ทว่าเมื่อเทียบกันแล้ว ทหารแคว้นจิงที่ฆ่าคนราวกับผักปลา พวกเขาขอเลือกติดตามกลุ่มคนขบวนนี้จะดีกว่า
พวกเขานั้นทำใจกับผลการตัดสินใจที่แย่ที่สุดของพวกตนไว้แล้ว
ยามนี้เมื่อได้ยินเสียงหัวเราะดังขึ้น ยามมองไปก็เห็นว่ากระทั่งชายชราที่พิการก็กำลังหัวเราะอยู่ เมื่อมองไปอีกด้านก็เห็นแม่นางแสนงามอีกคนกำลังหัวเราะอยู่เช่นกัน
ที่ท้ายขบวนเด็กชายวัยฟันกำลังงอกคนหนึ่งที่ฟันหน้าหายไปสองซี่ก็ร่วมหัวเราะไปกับเขาด้วยเช่นกัน
ทว่ากลับถูกชายชราที่อยู่ด้านหลังยื่นมือมาอุดปากไว้แน่น ใบหน้าของชายชราเต็มไปด้วยความหวาดกลัวและระแวดระวัง จากนั้นจึงออกแรงหยิกเนื้อบนหลังของเด็กชาย
เด็กชายแม้จะเจ็บเสียจนทำหน้ายู่ แต่ก็รู้ความ ไม่ได้ส่งเสียงร้องออกมา
“อย่าร้อง ห้ามดื้อเด็ดขาด”
เมื่อชายชราปล่อยมือ เด็กน้อยก็นิ่งขึ้นมาก แต่ว่าไม่นานเด็กชายก็อดไม่ไหวจนต้องหัวเราะขึ้นมาอีกครา นั่นก็เพราะบนภูเขา กระดูกขาวที่มีผ้าหลากสีประดับประดาอยู่นั้น อยู่ดีๆ ก็มีเด็กน้อยกลิ้งออกมา กลิ้งหลุนๆ มาหยุดลงหน้าขบวนตรงจุดที่มีเด็กหญิงนั่งอยู่บนหลังม้า
เหตุผลที่พวกเขาเลือกติดตามขบวนนี้มา เหตุผลหลักนั้นก็เพราะในขบวนมีเด็กหญิงคนนี้ ขบวนที่มีเด็กหญิงนำทัพเช่นนี้ ต่อให้เลวร้ายถึงเพียงใดก็ไม่น่าจะฆ่าแกงเด็กเล็ก ครู่ต่อมาก็ราวกับมีการแสดงอยู่ก็ไม่ปาน
เด็กเล็กมากมายอยู่ดีๆ ก็ปรากฏตัวพร้อมกัน ร่างเล็กๆ ของทารกนั้นปีนได้คล่องแคล่ว ครู่เดียวก็มาหยุดลงตรงหน้าเด็กหญิง
มีสองคนเกาะขาของนางเอาไว้
เด็กหญิงที่ดูสง่าผ่าเผยมาตลอดเส้นทาง ทันใดนั้นก็ร้องไห้จ้า
“น้าหลัวช่วยข้าด้วย เสี่ยวหนิวอึใส่ขาข้าแล้ว” เสียงใสๆ ปนสะอื้นไห้ดังขึ้น
ท่านราชครูยังกังวลว่าองค์หญิงนั้นจะตกใจเกินไป ตลอดเส้นทางจึงได้เงียบงันถึงเพียงนั้น ทั้งแววตาของนางก็ยังเคร่งขรึมเหลือเกิน บัดนี้ได้ยินเสียงนางร้องขึ้นมาก็รู้สึกโล่งใจ
ชายชราที่เมื่อครู่เพิ่งจะเอามืออุดปากหลานชาย เมื่อเห็นภาพตรงหน้าก็อดไม่ไหวหัวเราะลั่นออกมาเช่นกัน
ชายชรานั้นไม่เหมือนกับหลานชายวัยผลัดฟันของตน ยามที่เขาอ้าปาก ในปากนั้นเหลือฟันแค่ซี่เดียว ยามหัวเราะจึงทำให้ดูคล้ายกับะ่ายิ่งนัก
นิยายแนะนำ
นิยายแนะนำ
ความคิดเห็น
COMMENT
เว็บไซต์นี้ใช้คุกกี้
เว็บไซต์นี้ใช้คุกกี้ เพื่อสร้างประสบการณ์นำเสนอคอนเทนต์ที่ดีให้กับท่าน รวมถึงเพื่อจัดการข้อมูลส่วนบุคคลเพื่อให้ท่านได้รับประสบการณ์ที่ดีบนบริการของเว็บไซต์เรา หากท่านใช้บริการเว็บไซต์นี้ต่อไปโดยไม่มีการปรับตั้งค่าใดๆ นั่นเป็นการแสดงว่าท่านอนุญาตยินยอมที่จะรับคุกกี้บนเว็บไซต์และนโยบายสิทธิส่วนบุคคลของเรา
userA???
???? ??? ? ???? ?? ??