The Species War สงครามสายพันธุ์อำมหิต
ปฐมบท
ภายหลังสงครามโลกที่จบลงด้วยอาวุธชีวภาพ ผู้คนเสียชีวิตหลายล้านคน มีประชากรเหลือรอดอยู่เพียง 1 ใน 4 หลายประเทศล่มสลาย ไม่มีผู้แพ้หรือผู้ชนะ นี่เป็นเพียงจุดเริ่มต้นแห่งความเลวร้าย เกิดโรคประหลาดกลายพันธุ์ที่น่ากลัว คนตายสามารถฟื้นคืนชีพขึ้นมาได้ พวกมันไร้สำนึกผิดชอบชั่วดี ในขณะที่ยังสามารถรักษาระดับสติปัญญาไว้ได้ แต่ทว่าก้าวร้าวและแสดงพฤติกรรมที่กระทำตามสัญชาตญาณเยี่ยงสัตว์ ดำรงชีพด้วยการดื่มกินเลือดเนื้อมนุษย์และสิ่งมีชีวิตอื่นเป็นอาหาร ซึ่งเผ่าพันธุ์ที่เกิดขึ้นใหม่นั้นถูกเรียกว่า “มิวแทนท์ (Mutant)” หรือมนุษย์กลายพันธุ์
ผู้คนจากนานาชาติที่รอดชีวิตจากสงครามต่างโหยหาสันติภาพ มนุษยชาติรวมพลังกันเป็นหนึ่งเดียว ไม่มีการแบ่งแยกประเทศ สีผิว หรือการปกครองอีกต่อไป เพราะในเวลานี้ การแบ่งแยกปรากฏเพียงระหว่างคนและมนุษย์กลายพันธุ์ เหล่าผู้รอดชีวิตต่างอพยพมาอาศัยอยู่ในประเทศใกล้เส้นศูนย์สูตรเนื่องจากมีกลางวันยาวนาน รังสีอัลตราไวโอเลตเข้มข้นมากพอจะทำให้พวกมนุษย์กลายพันธุ์อ่อนแอ รวมถึงลดการติดเชื้อ และได้จัดตั้งสหพันธรัฐแห่งโลกใหม่ขึ้นโดยใช้ระบอบการปกครองแบบประชาธิปไตย
มนุษยชาติยังไม่สามารถหาวิธีรักษาโรคได้ และมันติดต่อโดยการถูกกัด ข่วน หรือสัมผัสกับน้ำลายและสารคัดหลั่งเข้าสู่กระแสเลือดโดยตรงจากมนุษย์กลายพันธุ์เท่านั้น ต้องแยกผู้ป่วยโรคประหลาดนี้ออกจากคนปกติที่ยังไม่ติดเชื้อ และเมื่อพวกเขาตายลง จะใช้เวลาโดยเฉลี่ย 24-48 ชั่วโมงในการฟื้นคืนชีพ และเพื่อไม่ให้เกิดการคืนชีพได้ ศพนั้นต้องถูกเผาทำลาย หากไม่เช่นนั้นแล้วผู้ที่ฟื้นจากความตาย ร่างกายจะเปลี่ยนแปลง มีพละกำลังเหนือมนุษย์ ออกอาละวาดสังหารสิ่งมีชีวิตโดยรอบด้วยความหิวกระหายเพื่อรักษาระดับพลังงานภายหลังจากการกลายพันธุ์จนกว่าสติปัญญาสัมปชัญญะจะกลับมา ส่วนสัตว์ที่ได้รับเชื้อกลายพันธุ์นั้นจะอ่อนแอและตายลงโดยไม่คืนชีพ การกลายพันธุ์มีผลเฉพาะกับมนุษย์เท่านั้น เชื่อกันว่ามันถูกสร้างขึ้นจากฝีมือมนุษย์เพื่อใช้เป็นอาวุธชีวภาพ แต่ไม่มีใครออกมายอมรับว่าเป็นเจ้าของเชื้อประหลาดนี้
สิ่งที่พวกกลายพันธุ์ต่างจากมนุษย์ทั่วไป ก็คือพลังพิเศษที่สามารถใช้ได้เฉพาะในความมืดไร้แสงอาทิตย์ พวกมันมีพลังหลายรูปแบบตามแต่สัญชาตญาณที่ถูกสร้างสรรค์เหมือนกับสัตว์ในธรรมชาติ นักวิทยาศาสตร์พบว่าเซลล์ภายในร่างกายจะอ่อนแอและตายลงหากถูกรังสีอัลตราไวโอเลต ซึ่งเป็นผลมาจากการกลายพันธุ์ของเซลล์ แลกมากับความสามารถที่ส่งผลต่อยีนส์และจีโนม ทำให้มีความสามารถพิเศษที่เซลล์จะแข็งแรงมากเมื่อไม่ได้อยู่ใต้แสงยูวี รวมถึงส่งผลเปลี่ยนแปลงสารเคมีในสมองในระดับรุนแรงทำให้เกิดพฤติกรรมที่พึ่งพาแต่สัญชาตญาณดิบ โครงสร้างทางชีวภาพปั่นป่วนจนสามารถจำแนกสายพันธุ์ได้มากกว่า 100 สายพันธุ์และยังคงไม่หยุดยั้งการวิวัฒนาการ
ในเวลากลางคืนนั้น พลังการฟื้นตัวของเซลล์กลายพันธุ์สูงมาก พวกมันสามารถงอกกระดูก แขนขา หรือหัวที่ขาดได้อย่างรวดเร็ว ทำให้อาวุธปืนปกติทำได้เพียงหยุดยั้งการเคลื่อนไหวเท่านั้น เพราะเมื่อเวลาผ่านไปพวกมันก็จะฟื้นสภาพร่างกายที่เสียหายและกลับมาจู่โจมอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย การกำจัดพวกมันแม้เพียงตัวเดียวก็เป็นเรื่องที่ค่อนข้างยาก เพราะหลังจากที่ถูกทำให้หมดสภาพจากการถูกกระสุนปืนพรุนทั้งร่าง หรือทำให้เคลื่อนไหวไม่ได้ ก็ต้องรีบจับพวกมันเผาไฟเดี๋ยวนั้น หากไม่แล้วพวกมันจะสามารถฟื้นตัวได้ โดยอาจหลบหนีหรือจู่โจมซ้ำ และปืนพ่นไฟแม้มีประสิทธิภาพแต่ก็มีความเสี่ยงในการใช้งานเกินไปจากการลุกลามของเปลวเพลิง เนื่องจากยังไม่สามารถวิจัยหรือพัฒนากระสุนปืนให้มีประสิทธิภาพในการทำลายล้างเหล่ามิวแทนท์ได้เพราะยังไม่สามารถเอาชนะความสามารถในการฟื้นตัวที่หากพวกมันไม่ถูกรังสียูวีที่เข้มข้นพอในระยะประชิดก็จะไม่ตาย อีกทั้งการเคลื่อนไหวอันรวดเร็วกับพละกำลังมหาศาลของพวกมันยังทำให้เข้าประชิดตัวได้ง่าย
ทีมนักวิทยาศาสตร์และการทหารนำโดย “พันเอก.ดร.วิษณุ สิงห์” นักรบชาวซิกข์ผู้เชี่ยวชาญด้านการต่อสู้ ได้คิดค้นนวัตกรรมยุทโธปกรณ์ชนิดพิเศษ ที่ถูกสร้างมาเพื่อรับมือกับเหล่ามิวแทนท์ โดยการใช้พลังงานไฟฟ้าสร้างรังสียูวีเข้มข้นผ่านไอปรอทให้กับอาวุธ
“เกราะแห่งแสง(Armor of Light)”
ด้วยเทคโนโลยี Exo-Sekeleton (โครงกระดูกเสมือนที่ทำให้ผู้สวมใส่ยกของขนาด-หนักได้และเคลื่อนไหวได้เหนือมนุษย์) ผนวกเข้ากับวิศวกรรมจักรกลขั้นสูง และวัสดุที่แข็งกว่าเพชรและเบากว่าเหล็กอย่าง “แกรฟีน” และวัสดุอื่นๆ อย่างแผ่นรังไหมกันกระสุนและใยสังเคราะห์เคฟล่า และถูกเคลือบด้วยสารป้องกันรังสียูวี จนกลายเป็นชุดเกราะรบที่แข็งแกร่งที่สุดในประวัติศาสตร์มนุษยชาติ มีหลากหลายรูปแบบตามผู้ใช้งาน
“ดาบแห่งแสง(Sword of Light)”
ลักษณะเหมือนอาวุธทั่วไป เพียงแต่บริเวณด้ามจับจะถูกบรรจุแบตเตอรี่ไฟฟ้าและไอปรอทเป็นตัวกำเนิดรังสียูวีเข้มข้นสูงไปยังแกนกลางของอาวุธ ทำให้อาวุธแต่ละชนิดจะมีร่องเลือดที่ปรากฏลำแสงสีน้ำเงินอมม่วงของรังสียูวี เป็นอาวุธพิเศษที่ใช้สำหรับฟาดฟันเหล่ามิวแทนท์ที่แพ้รังสียูวีจากดวงอาทิตย์ สามารถตัดผ่านร่างกายได้ง่ายขึ้น แผลที่เกิดจากการฟันจะเน่าและเนื้อตาย ไม่สามารถฟื้นฟูร่างกายตามปกติได้ อีกทั้งยังลุกลามจนป่วยตาย หากถูกแทงเข้าที่สมอง จะทำให้ตายทันที มีหลากหลายรูปแบบขึ้นอยู่กับผู้ใช้งาน
“ยูวีแคนนอนบีม(UV Cannon Beam)”
เป็นอุปกรณ์ขนาดใหญ่ที่เร่งทำให้เกิดรังสียูวีเข้มข้นเพื่อฉายแสงออกเป็นเลเซอร์ ต้องใช้เวลาชาร์ตและพลังงานสูงในการยิงแต่ละครั้งเพื่อให้ได้ระดับที่เข้มข้นพอจะทำลายมิวแทนท์ มักถูกติดตั้งอยู่บนรถหุ้มเกราะหรือป้อมปราการ อีกทั้งยังเป็นอันตรายต่อมนุษย์และสิ่งมีชีวิตอื่นโดยรอบที่ไม่ได้สวมอุปกรณ์ป้องกันรังสี หากไม่ได้สวมแว่นป้องกันจะทำให้ตาบอด มีระยะการทำลายและเวลาการยิงลำแสงขึ้นอยู่กับขนาดของเครื่อง โดยเครื่องมาตรฐานที่ติดตั้งรถหุ้มเกราะ สามารถปล่อยลำแสงได้ต่อเนื่อง 30 วินาที ระยะการยิง 250 - 300 เมตรและระยะเวลาชาร์ต 1.35 นาที
ในการป้องกันเขตแดนของมนุษย์ สหประชาชาติได้สร้างกำแพงสูงและด่านทหารตลอดแนวชายแดน หอสังเกตุการณ์และป้อมปราการที่เชื่อมแนวบังเกอร์อีก 3 ชั้นเพื่อป้องกันการรุกรานของมิวแทนท์ เวลากลางวันคือเวลาที่สงบสุข พวกมิวแทนท์ไม่ชอบแสงแดด เพราะทำให้พวกมันอ่อนแอและใช้พลังพิเศษไม่ได้ แต่ไม่ได้หมายความว่ามันจะตายทันทีที่ออกแดด เพียงแต่ต้องแต่งตัวมิดชิดและสวมเครื่องป้องกัน มีมิวแทนท์ที่สามารถแฝงตัวอาศัยอยู่กับมนุษย์ ล่อลวงเหยื่อเพื่อกินเป็นอาหารในเวลากลางคืน จึงเป็นหน้าที่ของตำรวจสอบสวนกลางในการไล่ล่าเหล่ามิวแทนท์ในเขตมนุษย์
เพราะปัญหาด้านความแออัดจากจำนวนประชากรที่เพิ่มขึ้น ทำให้รัฐบาลโลกตัดสินใจให้นำกำลังทหารเข้าชิงพื้นที่โลกในส่วนที่ล่มสลายคืนจากพวกมิวแทนท์ และเพื่อป้องกันการรุกรานที่จะมีในอนาคต การชิงพื้นที่จึงเป็นภารกิจในเวลากลางวัน ในขณะที่เวลากลางคืนคือเวลาที่มนุษย์จะประจำการในฐานที่มั่นที่ป้องกันด้วยเครื่องกำเนิดแสงยูวีที่ส่องแสงสีม่วงไปทั่วบริเวณ การต่อสู้กับเหล่ามิวแทนต์มักต้องต่อสู้ในระยะประชิด ทำให้ศิลปะป้องกันตัว วิชาการต่อสู้กลายเป็นวิชาหลักในการฝึกทางการทหารเพื่อเตรียมพร้อมร่างกายให้สามารถสวมใส่ใช้งาน “เกราะแห่งแสง” และ “ดาบแห่งแสง” ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ผู้ที่มีทักษะการต่อสู้สูงจะได้รับความเคารพและเกียรติจากสังคม ทำให้เกิดสำนักศิลปะการต่อสู้มากมาย
เด็กๆ เมื่อเรียนจบในภาคการศึกษาปกติแล้ว มักเข้ารับการทดสอบเพื่อเข้าเรียนในโรงเรียน “วอริเออร์ออฟไลท์อาคาเดมี่ (Warrior of Light Academy)” เพื่อฝึกตนเป็น “นักรบแห่งแสง”
สารบัญ
CONTENT
รายการรีวิว
REVIEW
userA???
???? ??? ? ???? ?? ??